ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างไม่เป็นทางการ ชี้ให้เห็นว่า "โดนัลด์ ทรัมป์" ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน คว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง ได้คะแนน Electoral Vote เกิน 270 คะแนน และจ่อคิวดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 หลังจากประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า พ้นจากตำแหน่งในเดือนมกราคม
CNN รายงานว่า "ฮิลลารี่ คลินตั้น" ได้ต่อโทรศัพท์ถึง โดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อแสดงความยินดี หลังทราบผลว่าพ่ายแพ้ที่รัฐเพนซิลเวเนีย และวิสคอนซิน
โดนัลด์ ทรัมป์ คือมหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผู้หันมาเอาดีทางการเมือง เขาได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันเหนือคู่แข่งเกือบ 20 คน
เขาขึ้นกล่าวต่อผู้สนับสนุนตัวเขาที่นครนิวยอร์คหลังทราบผลเลือกตั้ง โดยระบุถึงนโยบายที่จะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ซึ่งเป็นคำพูดที่เขาใช้มาตลอดในช่วงการหาเสียงหลายเดือนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้กล่าวขอบคุณครอบครัว อดีตคู่แข่ง และผู้สนับสนุนเขาทุกคน
วิเคราะห์ความนิยมของทรัมป์และความแตกแยกในสังคมอเมริกัน
นักวิเคราะห์การเมืองอเมริกัน สจ๊วต รอทเท่นเบิร์ก (Stuart Rothenberg) ชี้ว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คะแนนนิยมของโดนัลด์ ทรัมป์ สูงอย่างน่าประหลาดใจ เป็นเพราะผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวนมากต้องการแสดงความไม่พอใจต่อทิศทางของรัฐบาล และต้องการใครสักคนที่จะเป็นกระบอกเสียงเพื่อแสดงความโกรธเคืองที่มีต่อ ปธน.บารัค โอบาม่า
และคนๆ นั้นก็คือนายโดนัลด์ ทรัมป์
ดูเหมือนการพูดจาแบบโผงผางตรงไปตรงมาแบบที่เรียกว่า “ขวานผ่าซาก” ของโดนัลด์ ทรัมป์ จะถูกใจบรรดาผู้ที่สนับสนุนเขาเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นแรงงานที่เป็นคนผิวขาว
และแม้การที่ทรัมป์รับปากว่าจะทำเรื่องต่างๆ มากมายหากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี จะสร้างกระแสวิจารณ์และความสงสัยว่าเขาจะทำได้หรือไม่นั้น ดูเหมือนประเด็นนี้จะไม่ได้ทำให้ผู้ที่นิยมในตัวโดนัลด์ ทรัมป์ เกิดความเคลือบแคลงแต่อย่างใด
บางคนบอกว่าแม้เขาจะทำสิ่งที่รับปากไว้ไม่ได้หรือได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง แต่เพียงแค่เขาพูดออกมาว่าพยายามจะทำก็เพียงพอแล้วสำหรับตน
ด้านคุณ Henry Olsen นักวิเคราะห์แห่งศูนย์ Ethics and Public Policy ในกรุงวอชิงตัน ชี้ว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดกระแสความนิยมในตัวนายโดนัลด์ ทรัมป์ คือเขาพูดในสิ่งที่ตรงกับความโกรธหรือความไม่พอใจลึกๆ ของบรรดาผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งของพรรครีพับลิกัน
คุณ Olsen บอกว่าคนเหล่านี้รู้สึกว่าตนถูกละเลยจากทั้งสองพรรคในช่วง 15-20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทรัมป์ทำให้พวกเขารู้สึกเป็นพวกเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ยิ่งทรัมป์มีคนชื่นชอบมากเท่าไร ดูเหมือนคนที่ไม่ชอบก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะคนที่มองว่าเขาเกเร ต่อต้านคนต่างด้าว เหยียดผิว และสร้างความแตกแยกในหมู่คนอเมริกัน
