ผลการสำรวจของมหาวิทยาลัยควินนิพิแอค (Quinnipiac University Poll) ที่สำรวจความคิดเห็นของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในสหรัฐฯและเผยแพร่เมื่อวันพุธ (23 ส.ค.) พบว่า กว่าร้อยละ 62 รู้สึกว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯกำลังสร้างความแตกแยกให้กับคนในประเทศมากขึ้น ขณะที่อีกร้อยละ 31 ยังเห็นตรงกันข้าม
ผลการสำรวจยังถามความคิดเห็นเฉพาะลงไปถึงความรู้สึกเกี่ยวกับปฏิกิริยาการตอบสนองของผู้นำสหรัฐฯ ต่อเหตุการณ์ความรุนแรงที่เมืองชาร์ล็อตสวิลล์ เมื่อเกือบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา กว่าร้อยละ 60 บอกว่ารู้สึกไม่พอใจ ขณะที่ร้อยละ 32 บอกว่าท่าทีของประธานธิบดีทรัมป์นั้นเหมาะสมแล้ว
สัดส่วนของผลการสำรวจยังใกล้เคียงกัน เมื่อ 59 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าการตัดสินใจและพฤติกรรมของนายโดนัลด์ ทรัมป์ กับเหตุการณ์ความรุนแรงที่เมืองชาร์ล็อตสวิลล์ นั้นเป็นไปทางส่งเสริมกลุ่มเชิดชูคนผิวขาว หรือ ไวท์ ซูเพอร์เมซิส ขณะที่ร้อยละ 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกว่าท่าทีของ ประธานาธิบดีทรัมป์นั้นส่งผลลบต่อกลุ่มเชิดชูสนับสนุนคนผิวขาวส่วนอีกร้อยละ 35 บอกว่า ท่าทีของผู้นำสหรัฐฯเป็นกลางไม่ส่งผลต่อกลุ่มการเมืองใดๆ
Tim Malloy ผู้ช่วยผู้อำนวยการ Quinnipiac University Poll บอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชาร์ล็อตสวิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย และท่าทีรวมทั้งความเห็นของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งผลถึงการรับรู้ของชาวอเมริกันว่าความตึงเครียดในปัญหาทางเชื้อชาติกำลังเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ยังกล่าวว่า ประธานาธิบดี ทรัมป์ นั้นได้รับเลือกเพราะมีจุดเด่นในเรื่องการจัดการปัญหา แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความแตกแยก นอกจากนี้ยังมีคะแนนในด้านประสิทธิภาพการทำงานและการจัดการปัญหาต่างๆในฐานะผู้นำสหรัฐฯติดลบและต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีมา
อย่างไรก็ตาม แม้ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จะมีรายงานข่าวหรือความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านฝ่ายเหยียดเชื้อชาติ ที่ต้องการให้ยกเลิกรื้อถอนอนุสาวรีย์ กลุ่มผู้นำกองทัพฝ่ายใต้ที่พ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองสหรัฐฯ ออกจากสานที่สาธารณะต่างๆ แต่ผลสำรวจความคิดเห็นกลับพบว่าไม่ค่อยมีผู้สนับสนุนในเรื่องนี้มากนักโดยมีเพียงร้อยละ 39 ของผู้ตอบแบบสอบถามเท่านั้นที่สนับสนุนการรื้อถอนอนุสาวรีย์ผู้นำกองทัพฝ่ายใต้ ขณะที่อีกร้อยละ 50 ไม่เห็นด้วย ส่วนที่เหลือราวร้อยละ 10 ไม่มีความเห็นในเรื่องดังกล่าว
อีกคำถามที่น่าสนใจ คือ ที่ผ่านมา นายโดนัลด์ ทรัมป์ มักจะใช้คำว่า "ข่าวปลอม" หรือ fake news เพื่อกล่าวหา สื่อ และ ผู้สื่อข่าวที่ผู้นำสหรัฐฯเชื่อว่าปฏิบัติต่อเขาไม่เป็นธรรม ซึ่งผลการตอบแบบสอบถามใน Quinnipiac Poll พบว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ยังเห็นด้วยกับผู้นำสหรัฐในเรื่องนี้ โดยมีถึงร้อยละ 55 ของของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ตอบว่าไม่ชอบวิธีการรายงานของสื่อเกี่ยวกับ ประธานาธิบดีทรัมป์ ขณะที่ร้อยละ 40 บอกว่าสื่อทำหน้าที่รายงานได้ดี
อย่างไรก็ ตามผู้มีสิทธิเลือกตั้งราวร้อยละ 62 ระบุด้วยว่า ไม่เห็นด้วยกับการแสดงท่าทีบั่นทอน หรือ แสดงความโกรธของนายทรัมป์ ที่มีต่อผู้สื่อข่าวขณะที่ 35 เปอร์เซ็นต์ แสดงความเห็นด้วยกับประธานาธิบดีทรัมป์ ในเรื่องนี้
แต่เมื่อถามว่า ใครน่าเชื่อถือที่จะพูดความจริงมากกว่ากัน ระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ กับ สื่อมวลชนคำตอบกลับพบว่า คนส่วนใหญ่ยังเชื่อถือในข่าวที่สื่อรายงาน มากกว่าที่ไว้วางใจว่า ประธานาธิบดี ทรัมป์ จะพูดความจริง โดยคิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 54 กับร้อยละ 36ส่วนที่เหลือราวๆร้อยละ 10 บอกว่า ไม่รู้จะเชื่อใครดี ระหว่าง ทรัมป์ กับ ข่าวที่สื่อรายงาน