ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่ออนุมัติการต่ออายุสวัสดิการสำหรับคนว่างงานจากวิกฤติโควิด-19 และการงดเก็บภาษีบางส่วน โดยไม่รอให้สมาชิกสภาคองเกรสเจรจาจนได้ข้อสรุป ขณะที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ระบุว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ
ปธน.ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารในวันเสาร์ เพื่ออนุมัติการให้เงินช่วยเหลือคนว่างงานรายละ 400 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นจำนวนที่ลดลงจากเงินช่วยเหลือสัปดาห์ละ 600 ดอลลาร์ซึ่งหมดอายุลงไปเมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา ขณะที่ตัวแทนจากทำเนียบขาวและสมาชิกอาวุโสจากสภาผู้แทนราษฎรซึ่งพรรคเดโมแครตคุมเสียงข้างมากอยู่ ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงแผนช่วยเหลือทางเศรษฐกิจรอบใหม่สำหรับประชาชนและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้
ผู้นำสหรัฐฯ บอกกับผู้สื่อข่าวว่า เงินก้อนใหม่ที่ตนลงนามอนุมัตินี้เป็นสิ่งที่ประชาชนที่ตกงานต้องการ และจะเป็นสิ่งที่จูงใจให้ทุกคนกลับไปทำงานตามปกติด้วย
ในส่วนของเงินช่วยเหลือที่ลดลง 25 เปอร์เซ็นต์นั้น ปธน.ทรัมป์ กล่าวว่า รัฐบาลแต่ละรัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบจ่ายให้ พร้อมทั้งเปิดเผยแผนกันงบ 44,000 ล้านดอลลาร์ที่ตนอนุมัติไปตั้งแต่รอบที่แล้วให้แต่ละรัฐใช้สำหรับช่วยเหลือการว่างงานในรอบนี้ เพียงแต่ว่า แต่ละรัฐต้องตัดสินใจเองว่าจะใช้จ่ายอย่างไร
ทั้งนี้ เงินช่วยเหลือผู้ว่างงานในรอบที่แล้วเป็นงบของรัฐบาลกลางทั้งหมด ขณะที่รายงานข่าวระบุว่า งบประมาณของแต่ละรัฐนั้นพร่องหายไปอยากมาแล้วเนื่องจากการใช้จ่ายเพื่อช่วยประชาชนที่เดือดร้อนจากวิกฤติครั้งนี้
นอกจากการอนุมัติเงินช่วยเหลือก้อนเล็กแล้ว ปธน.ทรัมป์ ยังสั่งให้ระงับการหักภาษีอัตราร้อยละ 7 จากรายได้เพื่อนำส่งระบบประกันสังคมและสวัสดิการด้านการรักษาของรัฐ สำหรับผู้ที่มีรายได้ปีนี้ไม่ถึง 100,000 ดอลลาร์ ซึ่งหมายความว่า ผู้ที่มีสถานภาพว่างงานในปีนี้และไม่มีรายได้ ไม่ได้รับสิทธิ์นี้
ปธน.ทรัมป์ ระบุด้วยว่า จะสั่งยืดระยะเวลาห้ามเจ้าของที่พักต่างๆ ไล่ผู้เช่าที่ค้างชำระค่าเช่าออกไปอีกระยะหนึ่ง และจะอนุญาตให้ผู้ที่ติดค้างเงินกู้เพื่อการศึกษาพักชำระได้อีกสักพัก และงดเก็บดอกเบี้ยเงินกู้ที่รัฐบาลเป็นผู้อนุมัติด้วย
แนนซี่ เพโลซี่ ประธานสภาล่างสหรัฐฯ และสมาชิกพรรคเดโมแครต กล่าวในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับรายการ Fox News Sunday ในวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่นว่า การลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารของผู้นำสหรัฐฯ นั้น เป็นการกระทำที่ “ไม่เพียงพอ แผ่วเบา และฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ”
เพโลซี่ ระบุว่า ยังต้องการเวลาอีกสักพักกว่ารัฐบาล “จะนำส่งเงินเข้ากระเป๋าประชาชนได้” และเรียกร้องให้ทำเนียบขาว “พบกันครึ่งทาง” สำหรับการตั้งงบประมาณช่วยเหลือคนว่างงานกว่า 30 ล้านคน รวมทั้งรัฐบาลระดับท้องถิ่นที่ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางอยู่
ก่อนหน้านี้ อดีตรองประธานาธิบดี โจ ไบเดน เรียกคำสั่งฝ่ายบริหารล่าสุดนี้ว่าเป็น “หนึ่งในมาตรการที่ไม่ทั่วถึง” และกล่าวหาปธน.ทรัมป์ว่า ทำให้ระบบประกันสังคมมีความเสี่ยง เพราะการสั่งระงับการหักภาษี
ขณะเดียวกัน มิทช์ แมคคอนเนล ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา ออกแถลงการณ์ในวันเสาร์ที่ระบุว่า ชาวอเมริกันที่กำลังเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือเดี๋ยวนี้ และเพราะสิ่งที่พรรคเดโมแครตเรียกร้องนั้นเป็นเรื่องเหลวไหลที่ไม่ตอบสนองความต้องการของคนว่างงนและทำให้การเจรจาล้มเหลว ตนจึงขอสนับสนุนทางเลือกที่ปธน.ทรัมป์เสนอมา
ส่วน สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในวันเสาร์เช่นกันว่า รายละเอียดในคำสั่งฝ่ายบริหารของปธน.ทรัมป์นั้น ไม่ใช่ “ตัวเลือกแรก” ของผู้นำสหรัฐฯ แต่เป็นเพราะ เพโลซี่ ประธานสภาล่างสหรัฐฯ และ ชัค ชูเมอร์ ผู้นำพรรคเดโมแครตในวุฒิสภา ที่ทำให้ความพยายามเจรจาแผนช่วยเหลือรอบใหม่ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาต้องล้มเหลว