หลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศยืนยันการติดเชื้อโควิด-19 เมื่อไม่กี่วันก่อน หลายฝ่ายเริ่มแสดงความไม่แน่ใจเกี่ยวกับทิศทางแผนหาเสียงเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ ในช่วงโค้งสุดท้าย
สัญญาณความไม่แน่นอนสถานการณ์ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปีนี้ เริ่มมีออกมาอีกครั้ง หลังการประกาศยืนยันการติดเชื้อโควิด-19 ของปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ และเมลาเนีย ทรัมป์ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งเมื่อก่อนรุ่งเช้าของวันศุกร์ที่ผ่านมา
และแม้หลังปธน.ทรัมป์ จะเดินทางไปรับการรักษาต่อที่ศูนย์การแพทย์ วอลเตอร์ รีด ของกองทัพสหรัฐฯ ชานกรุงวอชิงตัน ในช่วงเย็นวันศุกร์ เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวได้ออกมายืนยันว่า ผู้นำสหรัฐฯ ยังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่อยู่จากโรงพยาบาล
ขณะที่ ข่าวการติดเชื้อโควิด-19 ของ ปธน.ทรัมป์ อาจทำให้มีออกมาผู้สนับสนุนเพิ่มขึ้น ดังเช่นในอดีตเมื่อเกิดเหตุวิกฤติในประเทศ แต่บางคนมองว่า สถานการณ์นี้อาจถูกมองเป็นประเด็นขัดแย้งของผู้นำสหรัฐฯ ที่มักพร่ำบอกว่า ทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาพปกติในไม่ช้า
จอห์น ฟอร์ติเออร์ นักวิเคราะห์ประเด็นการเมืองจากศูนย์ Bipartisan Policy Center ให้ความเห็นว่า เวลานี้ ยังเป็นช่วงที่คาดเดาสถานการณ์ได้ยากมาก
สิ่งที่หลายคนจับตามองในเวลานี้ คือ การโต้อภิปรายระหว่างสองผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ในรอบที่ 2 ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ ในรูปแบบที่จะเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ารับชมในนครไมอามี และอาจจะถูกเลื่อนหรือยกเลิกไป หากปธน.ทรัมป์ มีอาการป่วยเกินกว่าจะเข้าร่วมได้ หรือต้องถูกกักตัวเพื่อป้องการการแพร่เชื้อสู่คนอื่น
ในช่วงที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ เข้าร่วมกิจกรรมหาเสียงที่มีผู้คนจำนวนมากเข้าร่วมหลายครั้ง และมักพูดในลักษณะว่า ความรุนแรงของโคโรนาไวรัสนี้ไม่ได้น่ากลัว ขณะที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมหลายรายไม่สวมหน้ากากหรือใช้วัสดุป้องกันใบหน้า
ในการหาเสียงในรัฐนิวเจอร์ซีย์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว หรือก่อนประกาศยืนยันการติดเชื้อไม่นาน ปธน.ทรัมป์ บอกกับกลุ่มผู้สนับสนุนว่า การพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 เริ่มใกล้สำเร็จแล้ว และว่า “จุดสิ้นสุดของภาวะระบาดครั้งนี้เริ่มปรากฏขึ้นแล้ว” ด้วย
แต่ ทอดด์ เบลท์ ศาสตราจารย์ด้านการเมือง จากมหาวิทยาลัย จอร์จ วอชิงตัน กล่าวว่า การติดเชื้อโควิด-19 ของผู้นำประเทศนี้ กลายมาเป็นสารที่ขัดแย้งกับ สารที่หมั่นส่งออกมาจากทีมงานหาเสียงว่า “ทุกอย่างกำลังเริ่มกลับสู่สภาพปกติ และสหรัฐฯ กำลังผ่านพ้นช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้แล้วด้วย”
ข้อมูลจาก มหาวิทยาลัย จอนส์ ฮอพกินส์ ณ เย็นวันอาทิตย์ แสดงให้เห็นว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมในสหรัฐฯ นั้นอยู่ที่กว่า 7.4 ล้านคน ขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตสะสมเพิ่มขึ้นจนใกล้ระดับ 210,000 คนแล้ว
ก่อนหน้านี้ ผู้นำสหรัฐฯ มักออกมาปกป้องการทำงานของรัฐบาลในด้านการรับมือการระบาดและการดูแลเศรษฐกิจว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯ จะสูงนับล้าน หากตนไม่ได้ทำการอย่างรวดเร็ว ในการระงับการเดินทางจากจีน ที่ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของการระบาด และทำการส่งความช่วยเหลือทางการแพทย์ไปยังรัฐต่างๆ
ศาสตราจารย์ เบลท์ เชื่อว่า แม้ว่า ปธน.ทรัมป์ จะพูดล้อเลียน อดีตรองประธานาธิบดี โจ ไบเดน ระหว่างการโต้อภิปรายเมื่อวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา รวมทั้งคนอื่นๆ ที่สวมหน้ากาก และเดินหน้าจัดการหาเสียงในรูปแบบที่ไม่ได้เป็นไปตามหลักปฏิบัติการรักษาระยะห่างทางสังคมเลย การที่ผู้นำประเทศติดเชื้อโควิด-19 นี้จะถูกนำไปใช้เป็นเหตุผลของทั้งกลุ่มผู้สนับสนุนและผู้ที่ไม่เห็นด้วย ในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในวันที่ 3 พฤศจิกายน ตามที่แต่ละฝ่ายตัดสินใจไว้ก่อนหน้านี้อยู่ดี
ขณะเดียวกัน ฟอร์ติเออร์ จากศูนย์ Bipartisan Policy Center เตือนว่า หากทีมงานของ อดีตรองปธน.ไบเดน เกิดนำเรื่องอาการป่วยของปธน.ทรัมป์ ไปล้อเลียนในการหาเสียง ประชาชนบางส่วนอาจไม่พอใจและไม่เลือกตัวแทนพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งครั้งนี้ก็เป็นได้
ในส่วนของอาการป่วยของผู้นำสหรัฐฯ นั้น แม้ว่า ทำเนียบขาวจะยืนยันว่า อาการโดยรวมยังไม่น่าห่วง ปธน.ทรัมป์ ยังมีความเสี่ยงที่จะประสบปัญหาอาการทรุดหนักถึงระดับเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เนื่องจาก อายุที่สูงถึง 74 ปี และเป็นผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน และหากปธน.ทรัมป์จะต้องรับการรักษาเพิ่มขึ้นจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ รองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ ซึ่งรับการตรวจการติดเชื้อเมื่อวันศุกร์ และผลออกมาเป็นลบ จะต้องขึ้นมารับหน้าที่รักษาการผู้นำรัฐบาลแทน
นอกจากนั้น หากอาการป่วยของ ปธน.ทรัมป์ รุนแรงจนไม่สามารถเดินหน้าหาเสียง หรือเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันในการชิงชัยตำแหน่งผู้นำประเทศได้ ทางพรรคอาจเลือกตัวแทนคนใหม่ขึ้นมาแทนได้ ขณะที่ผู้ที่ต้องการเลือกปธน.ทรัมป์ จะยังคงลงคะแนนเสียงเหมือนที่ตั้งใจ เพราะระบบคณะผู้เลือกตั้งปธน.จากแต่ละรัฐของสหรัฐฯ นั้น ใช้เสียงของผู้แทนพรรคของรัฐ ไม่ใช่เสียงของประชาชนแต่ละคน ในการนับและสรุปว่า พรรคใดคือผู้ชนะการเลือกตั้ง และตัวแทนพรรคนั้นๆ คือผู้นำประเทศคนใหม่นั่นเอง