ทำเนียบขาวออกมาปฏิเสธที่จะยืนยันรายงานที่ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้บันทึกเทปการสนทนากับแขกในห้องทำงานของทำเนียบขาว (Oval Office) และที่งานเลี้ยงอาหารค่ำในทำเนียบขาว
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ทวีตข้อความที่สื่อเป็นนัยว่ามีการบันทึกเทปลับการสนทนาส่วนตัวระหว่างตนกับอดีตผู้อำนวยการ FBI นายเจมส์ โคมี่ย์ ก่อนที่เขาจะถูกไล่ออก
โดยทวีตดังกล่าวระบุว่า "เจมส์ โคมี่ย์ ควรจะหวังว่าไม่มีเทปลับการสนทนาถูกบันทึกเอาไว้ ก่อนที่เขาอาจจะเริ่มปล่อยข่าวใดๆ ให้กับสื่อมวลชน"
วันนี้ โฆษกทำเนียบขาว ฌอน สไปเซอร์ ตอบคำถามผู้สื่อข่าว โดยบอกว่า "ประธานาธิบดีทรัมป์ ไม่มีอะไรต้องแจกแจงเพิ่มในเรื่องนี้" และว่า "ข้อความนั้นไม่ใช่คำขู่ แต่เป็นการพูดความจริง ซึ่งทวีตนั้นได้พูดทุกอย่างหมดแล้ว"
บรรดานักประวัติศาสตร์เชื่อว่า การบันทึกเทปบทสนทนาระหว่างแขกที่มาเยือนทำเนียบขาวโดยไม่ให้รู้ตัวนั้น เริ่มยุติไปตั้งแต่อดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เปิดเผยเรื่องนี้เมื่อปี ค.ศ. 1973 ก่อนที่เขาจะลาออกในเวลาต่อมา เนื่องจากผลกระทบจากคดีฉาว "วอเตอร์เกต"
โฆษกทำเนียบขาว สไปเซอร์ ยังตอบคำถามผู้สื่อข่าวเรื่องที่ว่า "ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ขอให้นายโคมีย์ ปฏิญาณกับตนว่าจะจงรักภักดีต่อประธานาธิบดี ระหว่างการรับประทานอาหารค่ำที่ทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 27 มกราคม จริงหรือไม่?"
ซึ่งนายสไปเซอร์ตอบเพียงสั้นๆ ว่า "ไม่จริง"
นายโดนัลด์ ทรัมป์ มีคำสั่งไล่ นายเจมส์ โคมี่ย์ ผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง หรือ FBI ออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 9 พ.ค.ตามเวลาในสหรัฐฯ
โดยผู้นำสหรัฐฯ กล่าวในแถลงการณ์ว่า "มีความจำเป็นที่จะต้องรื้อฟื้นความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจ ที่มีต่อหน่วยงานระดับสุดยอดทางด้านกฎหมายให้กลับมา หลังจากหลายเดือนที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย"
ขณะที่จดหมายแจกแจงเหตุผลจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เจฟฟ์ เซสชั่น และรองรัฐมนตรียุติธรรม ร้อด โรเซนสไตน์ ระบุว่า "นายเจมส์ โคมี่ย์ ได้สร้างความผิดพลาดครั้งใหญ่ เกี่ยวกับการตรวจสอบกรณีอีเมล์ของนางฮิลลารี่ คลินตั้น"
ต่อมาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาปกป้องการตัดสินใจของตนที่ให้สั่งปลด นายเจมส์ โคมี่ย์ ผอ.สำนักงานสืบสวนกลางของสหรัฐฯ หรือ FBI โดยบอกว่า
"เหตุผลนั้นง่ายมาก คือนายโคมี่ย์มิได้ทำหน้าที่ดีพอ"
อย่างไรก็ตาม มีผู้วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า การปลดนายโคมี่ย์ครั้งนี้ ยิ่งก่อให้เกิดคำถามถึงการสอบสวนของ FBI ต่อกรณีที่รัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้ว รวมถึงผลประโยชน์ที่อาจมีร่วมกันระหว่างคณะหาเสียงของ โดนัลด์ ทรัมป์ กับรัสเซีย