รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจในวันอังคารว่า จะล้มเลิกกฎที่ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรแห่งสหรัฐฯ หรือ ICE ประกาศ ห้ามให้นักศึกษาต่างชาติที่ถือวีซ่าสองประเภท อยู่ในสหรัฐฯได้อีกต่อไป หากว่าพวกเขาไม่มีวิชาเรียนในห้องเรียนช่วงเปิดภาคการศึกษาใหม่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
การกลับลำครั้งนี้เกิดขึ้น หลังจากนโยบายดังกล่าวถูกวิจารณ์อย่างหนักและนำมาซึ่งคดีความจากสถาบันการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด และมลรัฐต่างๆ หลายแห่ง
หลังจากที่มีการฟังความในข้อร้องเรียนจาก มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด และสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ หรือ MIT ในบ่ายวันอังคาร ที่ขอให้ศาลระงับผลบังคับใช้ของกฎดังกล่าว ผู้พิพากษา อัลลิสัน ดี. เบอร์โรส์ ในเขตบอสตั้น ยืนยันว่า ฝ่ายทางการสหรัฐฯและสถาบันการศึกษาทั้งสองแห่ง สามารถยุติความขัดแย้งกันได้
ผู้พิพากษาเบอร์โรส์ กล่าวว่าฝ่ายรัฐบาลจะล้มเลิกนโยบายดังกล่าวต่อนักเรียนต่างชาติ ตามรายงานของ The Wall Street Journal
ช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย หลังจากที่ ICE ประกาศเมื่อวันที่ 6 กค ห้ามให้นักศึกษาต่างชาติที่ถือวีซ่า F-1 และ M-1 มีสิทธิ์อยู่ในสหรัฐฯได้หากว่า พวกเขาไม่มีวิชาเรียนในห้องเรียนช่วงเปิดภาคการศึกษาฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งมักเริ่มขึ้นปลายเดือนสิงหาคม หรือต้นกันยายน
ราวหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น 17 รัฐในสหรัฐฯและกรุงวอชิงตันที่ร่วมกันยื่นฟ้อง ICE รัฐต่างๆเหล่านี้ ครอบคลุมวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย 1,124 แห่ง มีนักเรียนต่างชาติรวมกัน 373,000 คนเมื่อปีที่แล้ว
และอาจารย์ในสหรัฐฯ ต่างร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกแสดงความไม่เห็นด้วยกับประกาศของ ICE โดยเนื้อหาของจดหมายโจมตีนโยบายดังกล่าวว่า นอกจากจะกีดกัันนักเรียนต่างชาติที่ลงทุนและใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้ได้มาเรียนในสหรัฐฯ แล้ว ยังเป็นภัยต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อย่างร้ายแรงด้วย
ตัวจดหมายอ้างข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เมื่อปี 2561 ที่ระบุว่า นักเรียนต่างชาติสร้างรายได้ถึง 4 หมื่น 5 พันล้านดอลลาร์ให้แก่เศรษฐกิจสหรัฐฯ
ข้อมูลจากกระทรวงเมื่อปี 2562 ยังระบุด้วยว่า นักเรียนต่างชาติในสหรัฐฯ 62% ใช้เงินทุนจากภายนอกสหรัฐฯ ในการเรียน จดหมายฉบับนี้ยังชี้ด้วยว่า นักเรียนต่างชาติเป็นนักเรียนส่วนใหญ่ที่จบด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นวิทยาการด้านที่สำคัญของสหรัฐฯ
และว่า "การตัดสินใจของ ICE นั้นหมายความว่า นอกจากนักเรียนต่างชาติจะไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในสหรัฐฯ ต่อแล้ว หากมหาวิทยาลัยเปลี่ยนแผนการสอนตามการตัดสินใจของ ICE ก็เท่ากับว่า ทางมหาวิทยาลัยทำให้นักศึกษาและคณาจารย์ตกอยู่ในความเสี่ยงด้วยการบังคับให้พวกเขากลับเข้ามาในห้องเรียนในช่วงที่มีโรคระบาด”
ในส่วนของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย แทมมี่ สุมณฑา ทนายความด้านการตรวจคนเข้าเมือง ชี้ให้เห็นถึงความยุ่งยากในทางปฏิบัติว่า หากนักศึกษาต่างชาติต้องเปลี่ยนแผนการเรียนแล้ว พวกเขาจะต้องขอให้สถาบันศึกษาออกใบ I-20 ที่อยู่ควบคู่กับวีซ่าให้ใหม่ โดยในใบ I-20 จะต้องระบุอย่างชัดเจนว่า วิชาที่เรียนไม่ได้ทำการเรียนแบบออนไลน์ทั้งหมด
หากผู้ถือวีซ่ายังคงเรียนแบบออนไลน์และอยู่ในสหรัฐฯ ต่อไป เธอกล่าวว่า บุคคลผู้นั้นก็อาจได้รับหมายศาลภายในหกสิบวันนับจากหมดสถานะ
ทนายแทมมี่ให้ความเห็นว่า แม้ประกาศนี้จะไม่ใช่การแบนนักศึกษาต่างชาติ แต่ให้ผลคล้ายกัน
“ห้ามนักเรียน[ต่างชาติ] แต่ผลกระทบของประกาศตัวนี้ก็คือการห้ามไปในตัว”
การเปลี่ยนใจของรัฐบาลอเมริกันในวันพุธ ช่วยลดความยุ่งยากอีกประการหนึ่ง เรื่องการเดินทางกลับไทยของนักศึกษา ซึ่งต้องเป็นตามระเบียบการจัดโควต้า เดินทางเข้าประเทศ
ทั้งนี้ ทางสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ระบุว่า มีผู้แสดงความประสงค์กลับไทยภายในวันที่ 31 ก.ค. ประมาณ 3,431 คน และทางสถานทูตได้จัดเที่ยวบินเพิ่มให้ 7 เที่ยวบิน สำหรับคนไทย 1,250 คน ตลอดเดือนนี้
วีโอเอไทยได้พูดคุยกับนักศึกษาไทยสองราย เปรมมิกา ชยพล และอรยา กลอยดี ซึ่งกล่าวตรงกันว่า หากพวกเธอต้องกลับไทยและยื่นวีซ่าเข้าสหรัฐฯใหม่ ก็อาจขอยากขึ้น เนื่องจากแนวโน้มของกฎเข้มเกี่ยวกับโควิด-19
ทางสถานทูตยังให้คำแนะนำเมื่อวันที่ 8 ก.ค. ว่า ให้นักเรียน นักศึกษาที่กำลังศึกษาในสหรัฐฯ หรือมีแผนจะเดินทางมาศึกษา ติดต่อสถานศึกษาเพื่อตรวจสอบข้อมูลการเรียนการสอนไว้แต่เนิ่นๆ และเตรียมการในส่วนที่ี่ีเกี่ยวข้องต่อไป