ปี 2017 ที่กำลังจะหมดไปนี้ นอกจากจะมีความเคลื่อนไหวทางการเมืองและสังคมที่สร้างความเคลื่อนไหวมากมายแล้ว ในแง่มุมของวิทยาศาสตร์ ก็ถือเป็นปีแห่งปรากฏการณ์ธรรมชาติครั้งสำคัญแห่งศตวรรษ และการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติด้วย
สุริยุปราคาเต็มดวงในรอบเกือบศตวรรษ
ในปีนี้ผู้คนทั่วโลกโดยเฉพาะชาวอเมริกันต่างเฝ้ารอชม ปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา พาดผ่านกว่า 40 รัฐทั่วประเทศ ตั้งแต่ฝั่งแปซิฟิกในรัฐโอเรกอน ไปสิ้นสุดที่เมืองชาร์ลสตัน รัฐเซาท์แคโรไลนา นับเป็นปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงครั้งแรกในรอบ 99 ปี ที่ชาวอเมริกันได้ชื่นชมปรากฏการณ์นี้มากเป็นประวัติการณ์
ชาวอเมริกันต่างตื่นเต้นกับปรากฏการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต บ้างก็เดินทางไปจับจองพื้นที่ชมสุริยุปราคาเต็มดวงในเมืองคาร์บอนเดล รัฐอิลลินอยส์ เมืองมาดราส รัฐโอเรกอน และเมืองชาร์ลสตัน รัฐเซาท์ แคโรไลนา ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายที่จะได้เห็นสุริยุปราคาเต็มดวง ซึ่งกินเวลาเพียง 2 นาทีเศษ บ้างก็เตรียมอุปกรณ์ชมสุริยุปราคาไป บ้างก็ใช้เจาะรูในกล่องรองเท้า เพื่อสะท้อนเงาของปรากฏการณ์แบบง่ายๆ
หากใครพลาดชมในปีนี้ ก็ต้องรอไปจนถึงปี 2045 หรืออีก 28 ปีข้างหน้า!
ภัยพิบัติจากภาวะโลกร้อน
นอกจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หาชมได้ยากแล้ว ยังมีภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วโลกด้วย บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างถกเถียงถึงปัญหาอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นนั้น ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยทางองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก หรือ WMO ยกให้ปี 2017 นี้เป็น 1 ใน 3 ปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์
พายุรุนแรงระดับเฮอร์ริเคนถึง 3 ลูกจากฝั่งมหาสมุทร ได้แก่ เฮอร์ริเคนฮาร์วีย์ เออร์มา และมาเรีย ซัดถล่มเกาะใหญ่น้อยในแถบแคริบเบียน รวมทั้งทางตอนใต้ของสหรัฐฯ ยิ่งจุดประเด็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเข้าสู่ความสนใจของผู้คนมากขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศ ชี้ว่า อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น ทำให้เกิดเฮอร์ริเคนและไต้ฝุ่นบ่อยขึ้นและมีระดับความเร็วลมที่สูงขึ้นกว่าเดิม ประกอบกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นจะสร้างความเสียหายกับพื้นที่แนวชายฝั่งที่มีประชากรหนาแน่นได้มากขึ้นด้วย
แม้ปัญหาจะเริ่มเลวร้ายขึ้น ทว่าข้อมูลจาก Global Carbon Project กลับระบุว่า ปีนี้ทั่วโลกมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขี้น 2 เปอร์เซนต์ จากที่ระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนไม่มีการปรับเพิ่มขึ้นมาตลอด 2 ปีที่แล้ว
คลื่นความโน้มถ่วงจากดาวนิวตรอน
กว่า 100 ปีที่ทฤษฎีสัมพันธภาพของนักฟิสิกส์ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ระบุไว้ว่าคลื่นความโน้มถ่วงนั้นมีอยู่จริง แต่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกยังคงงมเข็มในห้วงอวกาศมานาน
จนกระทั่งเมื่อ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา หอสังเกตการณ์คลื่นความโน้มถ่วงไลโก (LIGO) และเวอร์โก (VIRGO) ซึ่งตั้งอยู่ในสหรัฐฯและอิตาลี ตรวจพบคลื่นความโน้มถ่วงที่ส่งออกมาจากการชนและรวมตัวกันของดาวนิวตรอนคู่ได้เป็นครั้งแรก
ดาวนิวตรอน หรือ ดาวที่เกิดจากการระเบิดของดาวขนาดใหญ่ และปรากฏการณ์ที่ทีมสังเกตการณ์คลื่นความโน้มถ่วงพบ คือ การชนกันและรวมตัวกันของดาวนิวตรอนคู่ที่เกิดขึ้นเมื่อ 130 ล้านปีที่แล้ว อยู่ห่างจากโลกออกไปราว 1,000 ล้านล้านล้านกิโลเมตร
แม้ว่าคลื่นความโน้มถ่วงนั้น จะถูกค้นพบโดยมนุษย์มาทั้งสิ้น 4 ครั้งแล้วก็ตาม แต่ที่ผ่านมาเป็นคลื่นความโน้มถ่วงที่มาจากการชนกันของหลุมดำทั้งสิ้น การค้นพบในปีนี้ จึงถือเป็นการยืนยันทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ซึ่งมีมากว่า 100 ปีที่ว่า คลื่นความโน้มถ่วงนั้นเดินทางด้วยความเร็วแสง
ฝาแฝดของระบบสุริยะ
ยังอยู่กันที่ดวงดาวและอวกาศ ความหวังและความฝันของมวลมนุษยชาติ ที่อยากหาบ้านหลังใหม่ที่ไม่ใช่โลกนั้นเริ่มมีความหวังอีกครั้ง เมื่อองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐ หรือ NASA จับมือกับทีมนักล่าดวงดาวด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ของกูเกิ้ล เผยการค้นพบระบบสุริยะ ที่เรียกว่า เคปเลอร์-90 (Kepler-90) นับเป็นระบบดาวเคราะห์คล้ายระบบสุริยะที่ถูกค้นพบครั้งแรก
เคปเลอร์-90 ห่างออกไปราว 2,545 ปีแสง มีดาวเคราะห์ 8 ดวงโคจรรอบดาวหลัก และที่น่าทึ่งก็คือ ดาวเคราะห์ลำดับ 3 ที่เรียกว่า เคปเลอร์-90 ไอ เป็นดาวหินเหมือนกับโลก แต่มีอุณหภูมิสูงถึง 427 องศาเซลเซียส และมีวงรอบโคจรเพียง 14.4 วัน นั่นเท่ากับว่า 1 ปีจะมีระยะเพียง 2 สัปดาห์บนโลก
โครงการลับตรวจจับ UFO ของเพนตากอน
และเรื่องสุดท้าย คือ การเปิดเผยโครงการลับของเพนตากอน หรือ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ว่าด้วยการสำรวจสิ่งมีชีวิตนอกโลก หรือ UFO ที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
โครงการลับนี้ริเริ่มโดยอดีตวุฒิสมาชิกรัฐเนวาดา แฮร์รี รี้ด (Harry Reid) ใช้งบประมาณราว 22 ล้านดอลลาร์ ในการตรวจสอบวัตถุหรืออากาศยานลึกลับบนท้องฟ้า ซึ่งมีการค้นพบโดยกองทัพสหรัฐฯ เมื่อช่วงปี 2007-2012 (พ.ศ. 2550-2555) ก่อนที่โครงการลับจะถูกเปิดเผยเมื่อเดือนธันวาคมปีนี้ จากการเผยแพร่ภาพจากกล้องเครื่องบินขับไล่ของกองทัพสหรัฐฯ ที่พบอากาศยานไม่ระบุตัวตน หรือ UFO บินเหนือมหาสมุทรในเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นคลิปวิดีโอที่บันทึกได้เมื่อปี 13 ปีก่อน
ปัจจุบัน ยังไม่ได้รับการยืนยันจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ว่าโครงการค้นหาสิ่งลึกลับจากนอกโลกนั้นจะถูกปัดฝุ่นขึ้นมา หรือเดินหน้าต่อไปหรือไม่