เข้าสู่โค้งสุดท้ายของเดือนกันยายน ภาพยนตร์ชวนขนลุกขนพองสยองขวัญมากมายต่างทยอยเข้าฉายเรียกเงินในกระเป๋ากันล่วงหน้าก่อนเทศกาลฮาโลวีน แต่จะเต็มตารางกันขนาดไหนต้องรอนับถอยหลังไปพร้อมกัน
เริ่มกันที่ อันดับ 5 Crazy Rich Asian ตำนานรักแบบฉบับซินเดอเรลลาเอเชีย ระหว่างหญิงเอเชียนอเมริกันหัวสมัย กับมหาเศรษฐีหนุ่มสิงคโปร์ ที่ต้องช่วยกันฝ่าฟันอุปสรรคด้านครอบครัวและวัฒนธรรมที่แตกต่างไปด้วยกัน
Crazy Rich Asian ยังเกาะตำแหน่งท็อป 5 ไว้ด้วยรายได้ 6.3 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์นี้ ขณะที่ตลอด 6 สัปดาห์ที่เข้าฉาย ก็ทำรายได้อู้ฟู่ที่ 159 ล้านดอลลาร์ในอเมริกา
ต่อกันที่อันดับ 4 ร่วงแรงจากบัลลังก์แชมป์จนกลับดาวไม่ถูกกับ The Predator นักล่าจากอวกาศสายพันธุ์โหด ที่บุกรุกโลกกันเป็นว่าเล่นเหมือนไปเดินห้างแถวบ้าน มาอัพเกรดตัวเองด้วยการตัดต่อพันธุกรรมของพวกมันเข้ากับดีเอ็นเอของสปีชีส์อื่นๆ รวมถึงมนุษย์ เพื่อให้พวกมันแข็งแกร่ง ฉลาดขึ้น และโหดขึ้นกว่าเดิม
The Predator ภาคล่าสุด โดนสับเละทั้งคำวิจารณ์และรายได้ที่ยังไม่ถึงจุดคุ้มทุนสร้าง สัปดาห์นี้ได้ไป 9.2 ล้าน รวม 2 สัปดาห์ที่เข้าฉาย กวาดไป 40 ล้านดอลลาร์
มาในอันดับ 3 The Nun แม่ชีฝึกหัดจากวาติกัน ถูกส่งไปสืบหาสาเหตุการตายอย่างปริศนาของแม่ชีสาวในโบสถ์โรมาเนีย ก่อนจะพบความจริงที่ว่า ทุกคนในโบสถ์นั้นกำลังเผชิญกับอำนาจมืดของ “วาลัค” ปีศาจในคราบผีแม่ชี ที่ออกมาหาแม่ชีคนใหม่เพื่อสิงร่าง
ท่าทางอำนาจมืดของผีแม่ชีเริ่มเสื่อมถอย จนร่วงลงมาจาก 2 สู่อันดับ 3 ด้วยรายได้ 9.96 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์นี้
ต่อกันที่อันดับ 2 A Simple Favor เมื่อเบลค ไลฟ์ลี ในบทคุณแม่สุดชิค ว่ายวานให้คุณแม่สายแบ๊ว แอนนา เคนดริก ดูแลลูกและครอบครัวให้ ก่อนจะหายตัวปริศนาและกลายเป็นศพในทะเลสาป ทว่าการตายของเธอไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเรื่องนี้
A Simple Favor ภาพยนตร์ดราม่าระทึกขวัญบวกกลิ่นอายแฟชั่น ที่ฟาดฟันกันแบบใสๆ ตามฉบับเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ สวมส้นสูงจิบมาร์ตินี ที่อันดับ 2 ด้วยรายได้ 10.3 ล้านดอลลาร์ไปสบายๆ
และในอันดับ 1 The House with a Clock in its Wall ภาพยนตร์แฟนตาซีสยองขวัญสำหรับเด็ก ว่าด้วยการผจญภัยของเด็กชายวัย 10 ขวบ ที่ไปอาศัยอยู่ในบ้านหลังเก่าอันลึกลับของลุง ก่อนที่ทั้งเมืองนั้นจะถูกคุกคามด้วยอำนาจร้ายของพ่อมดที่เจ้าหนูไปปลุกจากความตายโดยไม่ตั้งใจ
บ้านเวทมนตร์และนาฬิกาอาถรรพ์ ร่ายคาถาเข้าที่ 1 หนังทำเงินสหรัฐฯ ในสัปดาห์แรก ด้วยรายได้ 26.6 ล้านดอลลาร์ ทิ้งห่างอันดับ 2 ไปกว่าเท่าตัว
