ผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลไทยเข้าร่วมกิจกรรม ‘คาร์ม็อบ’ ทั่วประเทศในวันอาทิตย์ เพื่อกดดันนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ลาออกเนื่องจากไม่พอใจต่อการดำเนินมาตรการรับมือและป้องกันวิกฤตโควิด-19 ขณะที่รัฐบาลประกาศขยายพื้นที่ดำเนินมาตรการล็อกดาวน์ควบคุมการระบาด ซึ่งส่งผลต่อประชาชนราว 40 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ
สำนักข่าว รอยเตอร์ รายงานว่า รัฐบาลไทยประกาศคำสั่งล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของโคโรนาไวรัสในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดที่มีความเสี่ยงการแพร่กระจายเชื้อสูง ขณะที่ตัวเลขอย่างเป็นทางการที่ออกมาในช่วงเช้าของวันอาทิตย์ระบุว่า มีประชาชนติดเชื้อเพิ่มขึ้น 18,027 ราย และมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 อีก 133 ราย ส่งผลให้ตัวเลขสะสมของผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตขึ้นมาอยู่ที่ 615,314 รายและ 4,990 ราย ตามลำดับ
รายงานข่าวระบุว่า ตัวเลขส่วนใหญ่นั้นเป็นการเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อเดือนเมษายน ที่กลับมีการระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสสายพันธุ์อัลฟา รวมทั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสกลายพันธุ์เดลตา
แพทย์หญิง อภิสมัย ศรีรังสรรค์ โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ประกาศว่า ภายใต้มาตรการที่ถูกยกระดับขึ้นมานี้ รัฐบาลสั่งจำกัดการเดินทางไป-มาระหว่างจังหวัด รวมทั้งสั่งปิดการให้บริการร้านค้าที่ไม่จัดว่ามีความจำเป็นในห้างสรรพสินค้า การห้ามรับประทานอาหารภายในร้าน การห้ามชุมนุมเกิน 5 คน และการดำเนินคำสั่งเคอร์ฟิวในช่วงเวลา 21.00 น. ถึง 4.00 น. ในพื้นที่ 29 จังหวัด ที่ถูกจัดให้เป็น “โซนแดงเข้ม” ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากตัวเลข 13 จังหวัดก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ มาตรการต่างๆ ดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันอังคารที่จะถึงนี้เป็นเวลา 14 วัน ก่อนจะมีการทบทวนอีกครั้งในวันที่ 18 สิงหาคม ขณะที่ รอยเตอร์ รายงานโดยอ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวภายในรัฐบาลว่า การดำเนินมาตรการต่างๆ นี้จะดำเนินไปจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม เช่นเดียวกับรายงานของ สำนักข่าว บลูมเบิร์ก ซึ่งระบุด้วยว่า ที่ผ่านมา ไทยทำการฉีดวัคซีนให้ประชาชนไปแล้ว 17.7 ล้านโดส อันหมายความว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจำนวน 70 ล้านคนยังอยู่ในความเสี่ยงของการติดเชื้ออยู่