กลุ่มตาลิบัน เปิดเผยในวันอังคารว่า ฝ่ายตนหวังที่จะได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก ในฐานะ “ผู้ปกครองอัฟกานิสถานอันถูกต้อง” พร้อมย้ำว่า การมุ่งมั่นเดินหน้าสื่อสารและทำข้อตกลงต่างๆ ผ่านช่องทางการทูตจะช่วยส่งเสริมความมั่นคงของโลกพร้อมๆ กับการบรรเทาความทุกข์ยากของชาวอัฟกันที่ประสบมาตลอดช่วงเวลาหลายทศวรรษของภาวะสงครามที่ผ่านมาได้
อับดุล กาฮาร์ บัลคิ สมาชิกอาวุโสคณะกรรมาธิการด้านวัฒนธรรมของกลุ่มตาลิบัน เปิดเผยกับ วีโอเอ ว่า ทางกลุ่มยังเดินหน้าปรึกษาหารือกับผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ กับอัฟกานิถานเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลที่ตาลิบันสัญญาว่าจะเป็น “รัฐบาลอิสลามที่เปิดกว้างให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม” และคาดว่า “จะมีการประกาศ(ข้อสรุป)ในเร็วๆ นี้แล้ว”
บัลคิ กล่าวด้วยว่า กลุ่มตาลิบันเชื่อว่า โลกนั้นยังเปิดโอกาสให้มีการสร้างมิตรภาพกันได้ใหม่ ที่จะให้ทุกฝ่ายเข้าร่วมกันจัดการกับความท้าทายทั้งหลายที่โลกกำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาด้านความมั่นคงโลก หรือ สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งล้วนต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพราะปัญหาเหล่านั้นไม่สามารถได้รับการแก้ไขได้ ถ้ามีใครต้องถูกกีดกันออกไป
แต่ผู้ที่จับตาดูสถานการณ์ในอัฟกานิสถานยังคงไม่ไว้วางใจต่อคำสัญญาต่างๆ ที่กลุ่มตาลิบันให้ไว้ โดยมีการอ้างถึงรายงานโดยองค์การสหประชาชาติหลายฉบับที่พูดถึงการที่กลุ่มก่อการร้ายนี้ยังคงมีสายสัมพันธ์กับกลุ่มอัลเคดาและกลุ่มเคลื่อนไหวหัวรุนแรงอื่นๆ อยู่ รวมทั้ง ประเด็น “การประหารชีวิตอย่างรวบรัด” และการออกข้อจำกัดสำหรับผู้หญิงที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมของตาลิบันด้วย
อย่างไรก็ตาม บัลคิ กล่าวว่า ตาลิบัน “ยังหวังจะได้รับการยอมรับจากนานาประเทศทั่วโลก ในฐานะรัฐบาลตัวแทนประชาชนชาวอัฟกานิสถานที่ถูกต้อง” ที่ใช้สิทธิ์ที่ในการปลดแอกจากการครอบครองโดยต่างชาติ ด้วยแรงสนับสนุนจากคนทั้งประเทศ ที่ต้องตกทุกข์ได้ยากและทำการเสียสละต่างๆ มาเป็นเวลานาน
นอกจากนั้น สมาชิกอาวุโสคณะกรรมาธิการด้านวัฒนธรรมของกลุ่มตาลิบันรายนี้ ยังยืนยันจุดยืนที่ว่า จะไม่ยอมให้ผู้ใดใช้อัฟกานิสถานเป็นเครื่องมือคุกคามประเทศอื่นๆ และไม่อนุญาตให้ผู้อื่นเข้ามาแทรกแซงกิจการภายใน รวมทั้ง พูดถึงคำสัญญาที่จะปกป้องสิทธิ์ของชนกลุ่มน้อยต่างๆ ด้วย
ในอดีต ช่วงที่กลุ่มตาลิบันปกครองอัฟกานิสถานระหว่างปี ค.ศ. 1996 และปี ค.ศ. 2001 นั้น ทางกลุ่มนำกฎหมายอิสลาม หรือ กฎชารีอะฮ์ มาใช้ควบคุมประชาชน ซึ่งรวมถึงการห้ามผู้หญิงออกนอกเคหสถานโดยไม่มีญาติที่เป็นเพศชายพาออกมา และการห้ามไม่ให้เด็กผู้หญิงเข้ารับการศึกษาด้วย ซึ่ง บัลคิ แย้งว่า ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว และทุกคนควรมองไปข้างหน้า สู่อนาคต โดยไม่ยึดติดกับอดีตอีกต่อไป
แต่ผู้นำฝ่ายต่อต้านกลุ่มตาลิบันประกาศจุดยืนไม่ขอเชื่อว่า กลุ่มก่อการร้ายนี้ได้เปลี่ยนแปลงนโยบายไม่ให้แข็งกร้าวเหมือนแต่ก่อนแล้ว
คาห์ลิด นูร์ บุตรชายของ อัตตา มูฮัมหมัด นูร์ ผู้บัญชาการกองทัพชนกลุ่มน้อยชาวอัฟกัน-ทาจิค กล่าวว่า กลุ่มตาลิบันจะไม่สามารถอยู่ในอำนาจได้นาน หากไม่เคารพสิทธิมนุษยชนและวัฒนธรรมต่างๆ ของอัฟกานิสถาน และย้ำว่า “ทุกอย่างที่พูดออกมานั้น เป็นเพียงแค่ลมปาก ที่ยังไม่ได้กลายมาเป็นการกระทำแต่อย่างใด ซึ่งทำให้ไม่มีใครเชื่อได้ว่า ตาลิบัน ได้เปลี่ยนไปแล้ว”