ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลกจากเยอรมนี อย่าง BMW และเมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดเผยว่า ยอดขายในปีที่ผ่านมาพุ่งขึ้นสูง ด้วยอานิสงส์ของความต้องการรถอเนกประสงค์ SUV หรือ sport utility vehicle ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมกังวลว่า กระแสนิยมรถยนต์ประเภทนี้จะนำไปสู่ปัญหามลภาวะที่รุนแรงขึ้น และทำให้ความพยายามส่งเสริมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกว่าล้มเหลวลง
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ยอดขายรถทั่วโลกของบริษัท Bavarian Motor Works (BMW) ในปีที่แล้วสูงถึงกว่า 2.16 ล้านคัน ซึ่งเป็นอานิสงส์มาจากยอดขายรถรุ่น “X” ซึ่งเป็นรถ SUV ของบริษัทที่มีสัดส่วนของยอดขายรวมราว 40% และขยายตัว 21%
ส่วนเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งเป็นผู้นำตลาดรถยนต์พรีเมี่ยมของโลก เปิดเผยว่า ยอดขายรถ SUV ของบริษัทในปีที่ผ่านมามีสัดส่วน 1 ใน 3 ของยอดขายรวมเช่นกัน
ขณะเดียวกัน สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุในรายงาน World Energy Outlook ประจำปี 2019 ว่า ยอดขายรถ SUV ที่เพิ่มขึ้นสูงนี้อาจนำมาซึ่งปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้นได้ เพราะการออกแบบรถยนต์ประเภทนี้ให้ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเป็นเรื่องยาก และรถ SUV ปกติใช้น้ำมันสูงกว่ารถยนต์ขนาดกลางถึง 25% ต่อกิโลเมตรอยู่แล้วด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น IEA บอกว่า รถ SUV ถือเป็นปัจจัยหลักอันดับสองของการเพิ่มขึ้นของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2010 เป็นต้นมา โดยนักวิทยาศาสตร์หลายรายออกมาระบุว่า กิจกรรมของมนุษย์ที่นำมาซึ่งการปล่อยก๊าซดังกล่าว คือสาเหตุหลักของอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน
รายงานข่าวบอกว่า ปัจจุบันมีรถ SUV อยู่มากถึงกว่า 200 ล้านคันทั่วโลก เมื่อเทียบกับจำนวน 35 ล้านคันในปี ค.ศ. 2010
BMW และเมอร์เซเดส-เบนซ์ ออกมาแถลงว่ารถของบริษัทมีความสามารถในการประหยัดพลังงานมากที่สุดในปัจจุบัน และแสดงความหวังว่า ยอดขายในปีนี้จะทำลายสถิติอีกครั้ง พร้อมเผยแผนเปิดตัวรถ SUV ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ เพื่อตอบสนองกระแสความต้องการยานยนต์ที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ VDA สมาคมตัวแทนผู้ผลิตรถในเยอรมนียืนยันว่า ความต้องการรถยนต์จำนวนไม่น้อยในเป็นของรถรุ่นที่ประหยัดพลังงานเรียบร้อยแล้ว
ปัจจุบัน ยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและไฮบริดมีสัดส่วนเพียง 3.9% ของยอดขายรถใหม่ในยุโรปในระหว่างเดือนกรกฎาคมและเดือนกันยายนของปีที่ผ่านมา
