การขนส่งทางเรือผ่านคลองสุเอซ ประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าสำคัญเส้นหนึ่งของโลก ต้องหยุดชะงักชั่วคราวหลังเรือบรรทุกสินค้าขนาดมหึมาลำหนึ่งประสบปัญหาเกยฝั่งและลอยขวางลำน้ำ ทั้งยังทำให้เกิดความกังวลว่า เรือสินค้าอื่นๆ ที่ต้องรอการแก้ไขปัญหา อาจกลายมาเป็นเป้าถูกโจมตี อันเนื่องมาจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านได้
สำนักข่าว The Associated Press รายงานว่า เรือ Ever Given ซึ่งถือธงประเทศปานามา และขนส่งสินค้าระหว่างเอเชียและยุโรป แล่นเข้าคลองสุเอซเมื่อวันอังคารได้ไม่นาน ก่อนจะเกยฝั่งและเกิดการขยับของตัวเรือจนขวางลำคลองไว้จนมิด
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นเรื่องผิดธรรมดาอย่างมาก และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่คลองแห่งนี้ขุดเสร็จและเปิดใช้งานมากว่า 150 ปี
หลังเกิดเหตุ หน่วยงานดูแลคลองสุเอซ ส่งเรือโยงหลายลำเข้าช่วยดันเรือ Ever Given ให้กลับสู่แนวปกติ เพื่อเปิดโอกาสให้เรือขนส่งอีกหลายลำจากฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลแดงที่รออยู่ สามารถแล่นเข้าคลองได้อีกครั้ง แต่จวบจนวันพุธ การแก้ไขปัญหานี้ยังไม่ประสบผลสำเร็จ
รายงานข่าวระบุว่า คลองสุเอซคือ เส้นทางขนส่งสินค้าที่มีสัดส่วนราว 10 เปอร์เซ็นต์ของการขนส่งทั่วโลก และมีความสำคัญมากสำหรับการขนส่งน้ำมัน
เจ้าหน้าที่การคลองสุเอซบอกกับผู้สื่อข่าวว่า การแก้ไขปัญหานี้น่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 2 วัน กว่าจะสำเร็จ ขณะที่ พลโท โอสซามา ราเบย ผู้ดูแลหน่วยงานจัดการคลองแห่งนี้ยืนยันว่า “จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้การเดินเรือและการขนส่งสินค้าโลกกลับมาเป็นปกติให้ได้”
ขณะเดียวกัน บริษัท เบิร์นฮาร์ด ชูลท์ ชิปแมเนจเมนท์ (Bernhard Schulte Shipmanagement) ซึ่งรับผิดชอบเรือ Ever Given เปิดเผยว่า ลูกเรือทั้ง 20 คนนั้นปลอดภัยดี และ “ยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับการบาดเจ็บหรือมลภาวะใดๆ”
รายงานข่าวระบุด้วยว่า ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับสาเหตุที่เรือขนส่งซึ่งมีความยาวเกือบ 400 เมตรและกว้าง 59 เมตรนี้เกยฝั่ง แต่ บริษัท เอฟเวอร์กรีน มารีน คอร์ป (Evergreen Marine Corp) ซึ่งเป็นบริษัทดูแลการแล่นเรือลำนี้ ระบุในแถลงการณ์ว่า ตัวเรือถูกลมแรงพัดกระหน่ำตั้งแต่แล่นจากทะเลแดงเข้ามาในคลอง
เหตุการณ์ที่คลองสุเอซครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่ 2 ของเรือ Ever Given ซึ่งถือว่าเป็นเรือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกลำหนึ่ง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยในปี ค.ศ. 2019 เรือลำนี้แล่นไปชนเรือเฟอร์รี่ขนส่งผู้โดยสารที่จอดเทียบในแม่น้ำเอลเบ ในเมืองฮัมบวร์ก ประเทศเยอรมนี ซึ่งทางการที่ตรวจสอบเหตุการณ์อธิบายว่า ลมพัดแรงคือสาเหตุทำให้เกิดการชนกันของเรือสองลำ
นอกจากการใช้เรือโยงมาช่วยดันแล้ว รายงานข่าวอ้างอิงภาพถ่ายที่มีการเผยแพร่ผ่านอินสตาแกรมโดยเรือขนส่งสินค้าลำหนึ่งที่รอแล่นเข้าคลองสุเอซ และระบุว่า มีการใช้รถแบ็คโฮตักดินในการขุดพื้นทรายใต้หัวเรือเพื่อช่วยให้ลำเรือหลุดออกด้วย
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์คลองสุเอซปิดในครั้งนี้น่าจะส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าทางน้ำระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และทะเลแดงไม่น้อย โดย ซาลวาโตเร เมอร์โคเลียอาโน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคมป์เบลล์ ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา กล่าวว่า ปกติ จะมีเรือขนส่งราว 50 ลำแล่นผ่านคลองนี้ ซึ่งแปลว่า การที่คลองปิดจะทำให้การขนส่งอาหาร น้ำมันและสินค้าต่างๆ ระหว่างยุโรปและตะวันออกไกลต้องหยุดชะงักไปด้วย
The Associated Press รายงานว่า มีเรืออย่างน้อย 30 ลำจอดรออยู่ที่บริเวณทะเลสาบ Great Bitter Lake ของอียิปต์ ขณะที่เรืออีกว่า 40 ลำรออยู่ที่ฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และเรืออีก 30 ลำรออยู่ที่ฝั่งทะเลแดง
นอกจากประเด็นผลกระทบทางเศรษฐกิจแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงเตือนว่า เรือเหล่านี้ที่ลอยลำรอสถานการณ์ให้คลี่คลายอยู่ในทะเลแดง อาจกลายมาเป็นเป้าการโจมตี หลังเกิดเหตุถล่มเรือหลายลำในตะวันออกกลาง อันมีสาเหตุมาจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน
