ลิ้งค์เชื่อมต่อ

งานวิจัยชี้ ทารกจากแม่ที่ใช้ “สารโอปิออยด์” มักมีสุขภาพแข็งแรงกว่าทั่วไป


Nurses care for newborns at the University of Vermont Children’s Hospital in Burlington, Vermont, April 28, 2023. Research found that babies born to opioid users had shorter hospital stays when their care emphasized parent involvement.
Nurses care for newborns at the University of Vermont Children’s Hospital in Burlington, Vermont, April 28, 2023. Research found that babies born to opioid users had shorter hospital stays when their care emphasized parent involvement.

นักวิจัยเพิ่งเปิดเผยผลงานการศึกษาชิ้นใหม่เมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ระบุว่า ทารกที่เกิดจากคุณแม่ที่ใช้สารโอปิออยด์ (opioid) จะพักรักษาตัวในโรงพยาบาลระยะเวลาสั้นกว่าและต้องการยาที่น้อยกว่ากรณีของทารกจากคุณแม่ที่ไม่ได้ใช้สารดังกล่าว โดยเฉพาะเมื่อการดูแลเด็กนั้นเน้นการมีส่วนร่วมและการสัมผัสผิวกายทารกของคุณแม่ รวมถึงเมื่ออยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เงียบสงบด้วย

รายงานดังกล่าวระบุว่า ทารกแรกเกิดพร้อมที่จะกลับบ้านเร็วขึ้นประมาณหนึ่งสัปดาห์เมื่อเทียบกับเด็กที่ได้รับการดูแลตามมาตรฐานปกติ ขณะที่ สัดส่วนของทารกที่ได้รับการใช้ยาโอปิออยด์ เพื่อบรรเทาอาการสั่นเทา หรืออาการร้องไห้ที่ยากจะปลอบ อยู่ที่ราว 20% เมื่อเทียบกับสัดส่วน 52% ของทารกที่ได้รับการดูแลตามมาตรฐาน

ทั้งนี้ นักวิจัยระบุด้วยว่า เด็กที่เกิดจากแม่ผู้ใช้ยาโอปิออยด์ อย่างเช่น ยาบรรเทาปวดเมธาโดน (methadone) อาจมีอาการถอนยา (withdrawal symptom) หลังจากที่รับสารดังกล่าวในครรภ์มารดา ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว หน่วยดูแลทารกแรกเกิดจะใช้ระบบการให้คะแนนเพื่อตัดสินใจว่า ทารกคนใดต้องการยาเพื่อบรรเทาอาการจากการถอนยา

แพทย์หญิงเลสลี ยัง จากโรงพยาบาลเด็ก ของ University of Vermont ซึ่งเป็นผู้เขียนหลักของการวิจัยนี้กล่าวว่า โดยปกติ แม่ของเด็กจะรอฟังผลคะแนนดังกล่าวด้วยความกระวนกระวาย ซึ่งเป็นเรื่องที่เครียดอย่างมากของครอบครัว

แพทย์หญิงยัง อธิบายถึงวิธีการใหม่ที่เรียกว่า “กิน นอน ปลอบ” (Eat, Sleep, Console - ESC) ที่พยาบาลจะให้คุณแม่มาร่วมดูแลเด็กเพื่อทำการประเมินดูว่ากิจกรรมต่าง ๆ เช่น การโยกตัวกล่อมเด็ก การให้นม หรือการโอบกอด จะทำให้ทารกสงบลงได้หรือไม่ ขณะที่ การใช้ยานั้นเป็นหนึ่งในตัวเลือก แต่สภาวะแวดล้อมก็ถือเป็นปัจจัยที่ใช้พิจารณาเช่นกัน

US Births
US Births

แพทย์หญิงยัง อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นสภาวะแวดล้อมที่ควรพิจารณาในการประเมิน เช่น โทรทัศน์ในห้องเปิดอยู่หรือไม่ ไฟเปิดอยู่ไหม และเราควรจะต้องปิดสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้หรือเปล่า เป็นต้น

ตลอดการวิจัยนั้น พยาบาลประมาณ 5,000 คนเข้ารับการฝึกอบรมในระหว่างการดำเนินการศึกษาที่เพิ่งได้รับการตีพิมพ์ออกมาโดยวารสารการแพทย์ New England Journal of Medicine เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา

รายงานข่าวระบุว่า นักวิจัยที่เข้าร่วมโครงการทำการศึกษาวิธีการดูแลทารกแรกเกิดจำนวน 1,300 คนจากโรงพยาบาล 26 แห่งในสหรัฐฯ และใช้การเปรียบเทียบทารกที่เกิดก่อนที่พยาบาลในการศึกษาจะได้รับการฝึกอบรมกับทารกที่เกิดหลังจากนั้น

ในการศึกษานี้ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (National Institutes of Health) เป็นผู้ให้ทุนสนับสนุน โดยเป็นส่วนหนึ่งของความคิดริเริ่มเพื่อการรับมือวิกฤตการเสพติดสารโอปิออยด์ในสหรัฐฯ

ดร.ไดอานา บิอานคี ผู้อำนวยการสาขาวิจัยสุขภาพเด็กและพัฒนามนุษย์ มองว่า การศึกษานี้มีจุดแข็งคือ ความหลากหลายเชิงภูมิศาสตร์ และบอกว่า “เราได้ลงทะเบียนทารกแรกเกิดจากรัฐต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ เช่น เมืองซู ฟอลส์ รัฐเซาท์ ดาโคตา เมืองแคนซัส ซิตี้ รัฐมิสซูรี และเมืองสปาร์ตันเบิร์ก รัฐเซาท์แคโรไลนา เป็นต้น

ดร.บิอานคี ระบุว่า โรงพยาบาลหลายแห่งในสหรัฐฯ ได้นำวิธีการใหม่นี้ไปใช้แล้ว และเธอหวังว่า การวิจัยจะนำไปสู่การยอมรับให้มีการใช้งานได้จริงกลุ่มกุมารเวชศาสตร์ต่อไป

รายงานเปิดเผยด้วยว่า นักวิจัยได้ติดตามการเจริญเติบโตของเด็กทารกจนถึงอายุ 3 เดือนและไม่พบว่า มีกรณีที่เด็กต้องเข้ารับการรักษาแบบด่วน หรือเข้าห้องฉุกเฉิน หรือการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพิ่มขึ้นจากปกติ ซึ่งเป็นข้อมูลยืนยันความปลอดภัยจากการลดระยะเวลาในการอยู่ที่โรงพยาบาลของทารกแรกเกิดเป็นอย่างดี

แพทย์หญิงเลสลี ยัง จากโรงพยาบาลเด็ก ณ University of Vermont ได้ชี้ว่า วิธีการนี้ดูแลแม่และเด็กนี้อาจนำไปสู่ "การประหยัดทรัพยากรอย่างมหาศาล” ของโรงพยาบาลได้ด้วย แม้จะยังไม่มีการประเมินตัวเลขของค่าใช้จ่ายออกมาก็ตาม

แพทย์หญิงยัง กล่าวว่า นักวิจัยวางแผนที่จะติดตามเด็กทารกกลุ่มนี้ไปจนถึงอายุ 2 ปี เพื่อเฝ้าระวังดูสุขภาพของพวกเขา ขณะที่ บรรดาคุณแม่ก็ต้องการที่จะมีส่วนร่วมด้วย เพราะ “เป็นครั้งแรกที่พวกเธอรู้สึกว่า บทบาทของการเป็นแม่นั้นมีคุณค่ายิ่ง และทำให้ตัวเองรู้สึกสำคัญจริง ๆ”

นักวิจัยท่านนี้กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า “เรารู้ดีว่า ช่วงเวลาครั้งแรกของแม่และเด็ก[ที่จะอยู่ด้วยกันนั้น]มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างกัน"

  • ที่มา: เอพี
XS
SM
MD
LG