ถ้ามองในแง่ระบาดวิทยาแล้ว การติดเชื้อและการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 โดยทั่วไปในสหรัฐขณะนี้อยู่ในระดับทรงตัว แต่ขณะที่รัฐต่างๆ เริ่มกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเตือนว่า สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นมากกว่าคือการทำให้อัตราการติดเชื้อและการเสียชีวิตลดลงไม่ใช่ทรงตัวอยู่กับที่
ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเตือนด้วยว่า ถึงแม้แนวโน้มการติดเชื้อและการเสียชีวิตจะลดลงในช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นเวลาในอเมริกาขณะนี้ก็ตาม แต่ความร้อนและความชื้นในอากาศอาจเพียงช่วยให้อัตราการแพร่เชื้อมีประสิทธิภาพน้อยลง แต่จะไม่กำจัดเชื้อไวรัสชนิดนี้แต่อย่างใด และการติดเชื้อเพิ่มขึ้นมีโอกาสจะกลับมาใหม่ได้ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมและกันยายนเมื่ออากาศเย็นลง ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่าอาจจะเป็นการระบาดรอบที่สองได้
อาจารย์อาลี ม๊อคดัด ผู้สอนวิชาชีวะสถิติที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐวอชิงตันชี้ว่า เป็นเรื่องสำคัญที่เราควรทำทุกอย่างให้ถูกต้องในช่วงหน้าร้อนนี้ คือลดการแพร่เชื้อให้เหลือน้อยที่สุดเพื่อลดโอกาสของการระบาดรอบสองในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ทั้ง 50 รัฐของอเมริกาเริ่มคลายมาตรการล็อคดาวน์และกลับมาเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจอีกครั้ง มีรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงขึ้นอย่างน่าสังเกตในบางรัฐอย่างเช่น อาริโซนา ขณะที่บางรัฐ เช่น จอร์เจีย ดูเหมือนจะมีไม่มากเท่า
ผู้เชี่ยวชาญยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุผลของความแตกต่างดังกล่าว ซึ่งหากเราได้ทราบและเข้าใจปัจจัยซึ่งมีส่วนกำหนดเรื่องนี้อย่างแท้จริง ก็จะมีโอกาสควบคุมการแพร่ระบาดครั้งต่อไปได้ดีขึ้นด้วย
เรื่องต่อไปคือความสำคัญของการใช้หน้ากาก ซึ่งมีหลักฐานอย่างท่วมท้นที่ยืนยันว่าช่วยชะลออัตราการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องการใช้หน้ากากในสหรัฐกลายเป็นประเด็นทั้งทางด้านวัฒนธรรมและการเมือง คือในแง่สิทธิส่วนบุคคลที่จะใช้หรือไม่ใช้
ผลการสำรวจชิ้นหนึ่งแสดงว่า สมาชิกพรรคเดโมแครตและชนกลุ่มน้อยมีแนวโน้มจะใช้หน้ากากเมื่อออกจากบ้านมากกว่าสมาชิกของพรรครีพับลิกันและกลุ่มคนผิวขาว ในอัตราถึงเกือบเท่าตัว
ประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ การทราบข้อมูลว่าใครที่มีเชื้อโควิด-19 อยู่และอาจแพร่เชื้อได้โดยไม่รู้ตัว และขณะที่กำลังมีการเร่งปูพรมตรวจหาเชื้อมากขึ้นในอเมริกานั้น ขีดความสามารถที่จะทำเรื่องนี้ในแต่ละรัฐก็ไม่เท่ากัน โดยเกือบครึ่งหนึ่งของรัฐต่างๆ ในอเมริกายังไม่สามารถตรวจหาเชื้อในกลุ่มประชากรได้มากพอ รวมทั้งยังไม่มีขีดความสามารถพร้อมสำหรับการสืบสวนโรคและการกักตัวผู้เคยสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีเชื้อด้วย
และท้ายที่สุดคือ วัคซีน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนให้ความหวัง องค์การอนามัยโลกระบุว่ามีวัคซีนซึ่งอยู่ในขั้นพัฒนาในห้องทดลองขณะนี้รวม 126 ชนิด และมีราว 10 ชนิดที่ก้าวหน้าถึงขั้นทดลองกับมนุษย์แล้ว
โดยวัคซีนต้นแบบของมหาวิทยาลัย Oxford ในอังกฤษ จัดว่าอยู่ในขั้นก้าวหน้ามากที่สุดและบริษัท Moderna ของสหรัฐก็รายงานว่า พร้อมจะเริ่มการทดลองระยะสุดท้ายกับมนุษย์ในเดือนหน้าเช่นกัน
ถึงกระนั้นก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญก็เตือนว่า คำถามสำคัญสำหรับวัคซีนในขณะนี้ นอกจากเรื่องความเร็วในการพัฒนาและขีดความสามารถในการผลิตให้พอกับความต้องการแล้ว ยังมีข้อพิจารณาที่สำคัญเกี่ยวกับประสิทธิผล ความปลอดภัยและผลข้างเคียงด้วย เพราะวัคซีนอาจจะส่งผลต่อประชากรกลุ่มต่างๆ ในลักษณะที่ไม่เหมือนกัน
