กล่าวกันว่า สิ่งมหัศจรรย์อันหนึ่งของชีวิต คือการดูดาวในท้องฟ้าเวลากลางคืน แต่เวลานี้ นักดาราศาสตร์ และนักดูดาวสมัครเล่น พากันร้องทุกข์ว่า แสงไฟตามเมืองใหญ่เป็นมลภาวะทางแสงที่ทำให้มองเห็นดวงดาวในท้องฟ้าเวลากลางคืนได้น้อยมาก
นาย Fabio Mezzallira ผู้อำนวยการหอดูดาวของมหาวิทยาลัย Colorado ที่เมือง Boulder ในรัฐ Colorado บอกว่า ประสบการณ์การดูดาวเป็นเรื่องติดตาฝังใจ และเล่าประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟังว่า เมื่อตอนที่เขาอายุเพียง 11 ขวบ เคยนอนดูดาวที่ชายหาด ซึ่งมืดสนิทไม่มีมลภาวะแสงมาก่อกวน ได้เห็นทางช้างเผือกและดาวเกลื่อนเต็มท้องฟ้า และก็ยังจดจำมาจนทุกวันนี้
นักดาราศาสตร์ผู้นี้กล่าวโทษว่า แสงสว่างจากปั๊มน้ำมันและร้านขายเหล้า เป็นมลภาวะแสงที่ร้ายแรงที่สุด
นักดูดาวและนักเขียน Paul Bogard ซึ่งเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ ‘The End of Night, Searching for Natural Darkness in an Age of Artificial Light’ เห็นด้วยอย่างเต็มที่ และว่า เวลานี้ ผู้คนตามเมืองต่างๆ ไม่สามารถมองเห็น 95 – 99% ของดวงดาวที่เราควรจะเห็น
นักเขียนผู้นี้กล่าวไว้ด้วยว่า คืนที่มืดสนิท มีความสำคัญต่อสุขภาพอนามัยของคนเรา และว่า มลภาวะแสงสามารถขัดขวางการทำงานตามธรรมชาติของวัฏจักรการนอนของร่างกายได้ด้วย เพราะสิ่งมีชีวิตทั้งหมดต้องมีช่วงเวลากลางวันและกลางคืน และความมืดมีความสำคัญต่อการมีสุขภาพที่ดี แต่เวลานี้เราใช้แสงสว่างกันมาเกินไป
เมือง Boulder รณรงค์ต่อต้านมลภาวะแสง ถึงกับออกกฎเทศบาลในเรื่องนี้ออกมาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตัวอย่างหนึ่งของกฎนี้ คือโคมไฟตามท้องถนนในเมือง จะส่องลงไปที่ฟุตปาทโดยตรง และโคมครอบคลุมหลอดไป ป้องกันมิให้แสงไฟเล็ดรอดส่องขึ้นท้องฟ้าได้
นอกจากนี้ ถนนบางสายในบริเวณที่เป็นแหล่งพำนักอาศัย ไม่มีโคมไฟตามถนนด้วยซ้ำไป
สำหรับผู้ที่สนใจ สมาคมซึ่งมีชื่อเรียกว่า International Dark Sky Association นำแปลนแม่แบบสำหรับการจัดแสงไฟตามชุมชนที่อยากจำกัดมลภาวะแสง ซึ่งจะช่วยให้ดูดาวได้มากขึ้น ขึ้นเว็บไซต์ของสมาคมไว้ให้ดูเป็นตัวอย่าง
นาย Fabio Mezzallira ผู้อำนวยการหอดูดาวของมหาวิทยาลัย Colorado ที่เมือง Boulder ในรัฐ Colorado บอกว่า ประสบการณ์การดูดาวเป็นเรื่องติดตาฝังใจ และเล่าประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟังว่า เมื่อตอนที่เขาอายุเพียง 11 ขวบ เคยนอนดูดาวที่ชายหาด ซึ่งมืดสนิทไม่มีมลภาวะแสงมาก่อกวน ได้เห็นทางช้างเผือกและดาวเกลื่อนเต็มท้องฟ้า และก็ยังจดจำมาจนทุกวันนี้
นักดาราศาสตร์ผู้นี้กล่าวโทษว่า แสงสว่างจากปั๊มน้ำมันและร้านขายเหล้า เป็นมลภาวะแสงที่ร้ายแรงที่สุด
นักดูดาวและนักเขียน Paul Bogard ซึ่งเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ ‘The End of Night, Searching for Natural Darkness in an Age of Artificial Light’ เห็นด้วยอย่างเต็มที่ และว่า เวลานี้ ผู้คนตามเมืองต่างๆ ไม่สามารถมองเห็น 95 – 99% ของดวงดาวที่เราควรจะเห็น
นักเขียนผู้นี้กล่าวไว้ด้วยว่า คืนที่มืดสนิท มีความสำคัญต่อสุขภาพอนามัยของคนเรา และว่า มลภาวะแสงสามารถขัดขวางการทำงานตามธรรมชาติของวัฏจักรการนอนของร่างกายได้ด้วย เพราะสิ่งมีชีวิตทั้งหมดต้องมีช่วงเวลากลางวันและกลางคืน และความมืดมีความสำคัญต่อการมีสุขภาพที่ดี แต่เวลานี้เราใช้แสงสว่างกันมาเกินไป
เมือง Boulder รณรงค์ต่อต้านมลภาวะแสง ถึงกับออกกฎเทศบาลในเรื่องนี้ออกมาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตัวอย่างหนึ่งของกฎนี้ คือโคมไฟตามท้องถนนในเมือง จะส่องลงไปที่ฟุตปาทโดยตรง และโคมครอบคลุมหลอดไป ป้องกันมิให้แสงไฟเล็ดรอดส่องขึ้นท้องฟ้าได้
นอกจากนี้ ถนนบางสายในบริเวณที่เป็นแหล่งพำนักอาศัย ไม่มีโคมไฟตามถนนด้วยซ้ำไป
สำหรับผู้ที่สนใจ สมาคมซึ่งมีชื่อเรียกว่า International Dark Sky Association นำแปลนแม่แบบสำหรับการจัดแสงไฟตามชุมชนที่อยากจำกัดมลภาวะแสง ซึ่งจะช่วยให้ดูดาวได้มากขึ้น ขึ้นเว็บไซต์ของสมาคมไว้ให้ดูเป็นตัวอย่าง