กองกำลังของคะฉิ่นกลุ่มหนึ่ง ยึดเมืองเศรษฐกิจสำคัญที่ติดชายเเดนจีนได้ และเข้าครอบครองศูนย์การทำเหมืองสินเเร่หายาก โดยครั้งนี้ถือเป็นการเพลี่ยงพลำ้ของกองทัพรัฐบาลเมียนมา ตามรายงานของเอพีที่อ้างผู้เห็นเหตุการณ์
การเสียพื้นที่ดังกล่าวของฝ่ายรัฐบาล ให้กับกองกำลังเคไอเอ (Kachin Independence Army) ของคะฉิ่น ทำให้ฝ่ายทางการเหลือการควบคุมพื้นที่เพียงเมืองเดียวที่เข้าถึงช่องทางข้ามชายเเดน 'หมู่เจ้' (Muse)
นอกจากนี้ การที่เคไอเอได้ครองพื้นที่ดังกล่าว ยังตัดช่องทางรายได้ที่รัฐบาลเเสวงหาจากเหมืองที่มีสินเเร่หายากสำหรับการส่งออกไปจีน
สินเเร่หายากเหล่านี้ถูกใช้ในอุตสาหกรรมหลากหลาย เช่นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและกังหันลม รวมทั้งอาวุธสมัยใหม่และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากมาย
ผู้สื่อข่าวเอพีติดต่อไปยัง พันเอกเนา บู โฆษกของฝ่ายเคไอเอ และเท็ต ชเวโฆษกของกองทัพเมียนมาหลายครั้ง แต่ไม่ได้รับตอบกลับ
อย่างไรก็ตามสื่อท้องถิ่นหลายแห่งรายงานว่ารัฐบาลเมียนมาเสียเมือง "Kanpaiti" ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ในเวลานี้สงครามกลางเมืองในเมียนมาและกฎกองทัพทำให้การเดินทางไปทำข่าวเเทบเป็นไปไม่ได้ เเต่รายงานเรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากผู้เห็นเหตุการณ์ที่พูดคุยกับนักข่าวทางโทรศัพท์
คลิปวิดีโอ บนโซเชียลมีเดียที่ยังไม่สามารถยืนยันความถูกต้องได้ เเสดงให้เห็นถึง สิ่งที่มีบรรยายว่าเป็นสมาชิกเคไอเอรายหนึ่งกำลังยกธงเคไอเอขึ้นที่อุโมงค์ซึ่งตัดผ่านภูเขาไปประเทศจีน
คลิปอื่น ๆ เเสดงให้เห็นว่า มีอาวุธจำนวนมากที่ถูกระบุว่าถูกยึดได้โดยเคไอเอ
กองทัพเมียนมายึดอำนาจจากรัฐบาลของนางออง ซาน ซูจี ที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 3 ปีก่อน นำไปสู่การต่อสู้ที่รุนเเรงขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างกองทัพของรัฐ กับกองกำลังชนกลุ่มน้อยที่ต้องการอำนาจในการปกครองตนเองมากขึ้น
กองทัพรัฐบาล หรือที่รู้จักในชื่อ ทัดมาดอว์ เคยมีกำลังเเข็งเเกร่ง แต่พลาดพลั้งหลายครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นความพ่ายเเพ้ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะทางตะวันออกที่ใกล้กับจีนและที่รัฐยะไข่ทางตะวันตก
ความปราชัยหลายครั้งที่ว่านี้เกิดขึ้นหลังจากที่กองกำลังที่เเข็งเเกร่ง 3 กลุ่มร่วมกันต่อต้านรัฐและทำการบุกอย่างพร้อมเพรียงเมื่อวันที่ 27 ตุลาคมปีที่เเล้ว
จากนั้น กลุ่มอื่น ๆที่รวมตัวกันตามอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์เข้าร่วมต่อต้านรัฐเช่นกัน ซึ่งรวมถึงเคไอเอ ที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศในของรัฐคะฉิ่นด้วย
พื้นที่ที่ฝ่ายรัฐสูญเสียให้กับเคไอเอคล่าสุด มีเหมืองที่ไม่ได้ถูกกำกับดูเเลอย่างเป็นระบบจำนวน กว่า 300 แห่ง
เหมืองเหล่านี้ผลิตสินเเร่หายากส่วนใหญ่ที่นำไปขายให้จีน โดยการส่งออกสินค้าชนิดนี้เมื่อปีที่เเล้วไปยังจีนมีมูลค่าราว 1,400 ล้านดอลลาร์
หน่วยงานสิ่งเเวดล้อมโกลบอล วิตเนสส์ (Global Witness) ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงลอนดอนกล่าวเมื่อเดือนพฤษภาคมว่า การทำเหมืองในบริเวณดังกล่าวสร้างความสูญเสียต่อ "สิ่งเเวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น"
- ที่มา: เอพี