ปัญหาห่วงโซ่อุปทานส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่าง ‘ราล์ฟ ลอเรน’ และ ‘เอสเต ลอเดอร์’ แบรนด์เสื้อผ้าและเครื่องสำอางชื่อดัง ตามการรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ โดย ราล์ฟ ลอเรนนั้นเผยว่าบริษัทจะต้องรับมือกับค่าขนส่งและค่าสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และในขณะเดียวกันบริษัทสยังมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ในการรีบจัดส่งเสื้อโปโลและแจ็คเก็ต สินค้าดังของแบรนด์ไปยังร้านค้าต่าง ๆ ให้ทันเวลาช่วงเทศกาลที่จะมาถึง
ในขณะที่บริษัทเสื้อผ้าหรูของยุโรปมีการผลิตสินค้าส่วนใหญ่ในทวีป ราล์ฟ ลอเรน ซึ่งเป็นบริษัทอเมริกัน กลับมีฐานผลิตส่วนใหญ่นอกสหรัฐฯ โดย 40% ของการผลิตอยู่ที่ประเทศจีนและเวียดนาม ทำให้บริษัทเสี่ยงที่จะเจอปัญหาความล่าช้าในการจัดส่งและการปิดโรงงานในต่างประเทศ
การกระทบกระเทือนต่อห่วงโซ่การผลิตดังกล่าว ส่งผลต่ออุตสาหกรรมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเป็นพิเศษ โดยเป็นอุตสาหกรรมที่มีสินค้าขาดตลาดมากที่สุดในธุรกิจค้าปลีกรวมของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในช่วงเวลาก่อนการจับจ่ายต้อนรับเทศกาลวันหยุด จากการรายงานของ Adobe Analytics
อย่างไรก็ตาม ราล์ฟ ลอเรน กล่าวว่าบริษัทมั่นใจว่าจะสามารถจัดส่งสินค้าได้ทันเวลาและความต้องการของลูกค้า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริษัททุ่มงบประมาณในการจัดส่งสินค้าทางอากาศ
ปัญหาที่เกิดกับห่วงโซ่การผลิต อันเกิดจากความแออัดของท่าเรือหรือท่าอากาศยาน และการขาดแคลนแรงงานจนนำไปสู่ความล่าช้าในการขนส่ง ยังทำให้ เอสเต ลอเดอร์ บริษัทอเมริกันผู้ผลิตเครื่องสำอาง ต้องปรับลดการคาดการณ์ยอดจำหน่ายทั้งปีลงเหลือ 12-15% จากเดิม 13-16% และอาจจะทำให้ค่าใช้จ่ายของบริษัทสูงขึ้นอีกด้วย
การใช้มาตรการเพื่อยับยั้งการระบาดอีกครั้งของโควิด-19 ในบางประเทศในเอเชียและบางส่วนของยุโรป ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของบริษัท ยังทำให้ความต้องการลิปสติกและรองพื้น ยี่ห้อ M.A.C ลดลง โดย M.A.C เป็นหนึ่งในสินค้าหลักของเอสเต ลอเดอร์ ถึงแม้ว่ายอดขายผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอื่น ๆ เช่น La Mer และ Clinique จะดีขึ้นในไตรมาสแรกของปีก็ตาม
เอสเต กล่าวว่ายอดขายเครื่องสำอางยังเป็นส่วนเดียวที่ยังไม่สามารถกระเตื้องขึ้นไปแตะยอดเดิมก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 ได้