นายไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เตรียมหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เก ลาฟรอฟ โดยคาดว่าทั้ง 2 ฝ่ายเตรียมหารือถึงสนธิสัญญานิวเคลียร์ฉบับสุดท้ายที่ทั้ง 2 มหาอำนาจได้ลงนามร่วมกัน
เมื่อต้นปีนี้ สหรัฐฯเพิ่งถอนตัวออกจากสนธิสัญญาควบคุมหัวรบนิวเคลียร์พิสัยกลาง หรือ INF ที่สหรัฐฯและรัสเซียลงนามร่วมกันเมื่อปี ค.ศ.1987 ในยุคสงครามเย็น เพื่อปกป้องความมั่นคงปลอดภัยของยุโรป โดยห้ามการพัฒนาหรือติดตั้งขีปนาวุธพิสัยกลางแบบยิงจากพื้นดินที่มีระยะทำการระหว่าง 500 - 5,500 กม. แต่ได้ถอนตัวเมื่อต้นปีโดยอ้างว่ารัสเซียละเมิดสนธิสัญญานี้ก่อน
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯและรัสเซีย ยังมีความเห็นต่างเรื่องข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างกัน โดยเมื่อไม่นานมานี้ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ได้เรียกร้องให้มีการต่ออายุสนธิสัญญาควบคุมหัวรบนิวเคลียร์ New START ซึ่งลงนามในยุคของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา และกำลังจะหมดอายุในเดือนกุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 2021 ซึ่งกำหนดให้ทั้งสหรัฐฯ และรัสเซีย ลดหรือจำกัดการครอบครองขีปนาวุธเชิงยุทธศาสตร์
แต่คณะทำงานของประธานาธิบดีทรัมป์ ยังไม่ต่ออายุสนธิสัญญาดังกล่าว และต้องการให้ร่างข้อตกลงฉบับใหม่ ที่รวมจีนเข้าไปด้วย
การหารือระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย มีขึ้นพร้อมๆกับที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เสนอญัตติถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ที่กรุงวอชิงตันพอดี ซึ่งรัฐมนตรีต่างประเทศพอมเพโอ ยืนยันว่าไม่ได้เลือกที่จะหารือกับตัวแทนรัฐบาลรัสเซียในวันเดียวกัน และรัฐบาลสหรัฐฯไม่อาจปล่อยให้เหตุการณ์วุ่นวายที่นั่นมากระทบการทำงานของรัฐบาลได้
ขณะที่โฆษกทำเนียบขาว ให้ข้อมูลกับ the Fox Business Network ว่าสหรัฐฯและรัสเซียจะหารือในหลายประเด็น อาทิ ยูเครน อิหร่าน เกาหลีเหนือ และซีเรีย รวมทั้งเรื่องความปลอดภัยในการเลือกตั้งและความมั่นคงแห่งชาติ
การเยือนสหรัฐฯของรัฐมนตรีต่างประเทศลาฟรอฟแห่งรัสเซีย เมื่อครั้งก่อนในปี 2017 มีขึ้นในช่วงที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ถูกกล่าวหาว่าร่วมมือกับรัสเซียให้แทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ทรัมป์ได้รับชัยชนะเมื่อปี 2016 แต่กลับไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยันข้อกล่าวหา และรัสเซียปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับประเด็นนี้
ล่าสุด นายลาฟรอฟ ได้ให้สัมภาษณ์หลังการหารือกับนายพอมเพโอในวันอังคารว่า รัสเซียยินดีที่จะเปิดเผยข้อมูลการติดต่อสื่อสหรัฐฯ ระหว่างสหรัฐฯและรัสเซีย ในช่วงปี 2016-2017 เพื่อให้รัสเซียพ้นจากข้อกล่าวหาว่าแทรกแซงการเมืองสหรัฐฯที่ไม่มีมูลความจริง แต่คณะทำงานของประธานาธิบดีทรัมป์ปฏิเสธที่จะให้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อสาธารณชน ตามรายงานของรอยเตอร์ส