ผลสำรวจล่าสุดในสหรัฐฯ ชี้ว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ยังคงสนับสนุนการดำเนินนโยบายบังคับให้ผู้ที่เดินทางโดยเครื่องบินและระบบขนส่งสาธารณะต่างๆ สวมหน้ากากป้องกันไว้ตลอดเวลา หลังผู้พิพากษารัฐบาลกลางรายหนึ่งมีคำพิพากษาระงับการบังคับใช้นโยบายดังกล่าวโดยกรุงวอชิงตัน
การสำรวจความคิดเห็นประชาชนโดย AP-NORC Center for Public Affairs Research พบว่า แม้จะมีกระแสต่อต้านการบังคับการสวมใส่หน้ากากป้องกันบนเครื่องบิน ในรูปแบบของการใช้วาจาหรือการแสดงออกที่รุนแรงต่อพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินอยู่เนื่องๆ ผู้ตอบแบบสำรวจถึง 56% เห็นด้วยกับการบังคับให้ผู้ที่อยู่ในเครื่องบิน รถไฟ และระบบขนส่งสาธารณะทั้งหมด ต้องสวมหน้ากากไว้เสมอ ขณะที่ มีผู้ไม่เห็นด้วย 24% และอีก 20% ที่ระบุว่า ‘ยังไงก็ได้’
การสำรวจครั้งนี้ที่จัดทำระหว่างวันพฤหัสบดีที่แล้วจนถึงวันจันทร์ที่ผ่านมา หรือหลังจากผู้พิพากษารัฐบาลกลางในรัฐฟลอริดาสั่งระงับนโยบายบังคับสวมหน้ากากในเครื่องบินและระบบขนส่งทั่วประเทศ ซึ่งส่งผลให้สายการบินทุกสายและสนามบินทุกแห่งพร้อมใจกันยกเลิกกฎดังกล่าวทันที
นอกจากนั้น หน่วยงานรักษาความปลอดภัยด้านการขนส่งของสหรัฐฯ (TSA) ยังได้สั่งพักการใช้กฎดังกล่าวนี้ด้วย ขณะที่ กระทรวงยุติธรรมประกาศเมื่อวันอังคารว่า จะไม่ทำการอุทธรณ์คำพิพากษานี้ ถ้าศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) ไม่ออกมาย้ำถึงความจำเป็นของหลักปฏิบัตินี้
ในส่วนของผลการสำรวจล่าสุดนี้ ผู้ทำการวิจัยพบว่า จุดยืนของผู้ที่สนับสนุนพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันนั้นแตกต่างกันอย่างมาก โดยในกลุ่มแรกนั้นสนับสนุนนโยบายบังคับสวมหน้ากากถึง 80% และไม่เห็นด้วยเพียง 5% แต่กลุ่มหลังไม่เห็นด้วยถึง 45% และเห็นด้วยเพียง 33% โดย 22% นั้นไม่มีปัญหาไม่ว่าจะมีหรือไม่มีนโยบายนี้
วิกกี้ เพ็ตตัส ซึ่งเพิ่งย้ายจากเมืองแฟรงค์ฟอร์ต รัฐเคนตักกี มายังเมืองเคลียร์วอเตอร์ รัฐฟลอริดา เพื่อจะได้มาอยู่ใกล้หลานๆ บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ขณะที่ตัวเธอชอบบรรยากาศในเมืองนี้ เธอไม่ค่อยชอบ “ทัศนคติแบบขาดความกระตือรือร้น” ของ รอน เดอซานติส ผู้ว่าการรัฐนี้ซึ่งเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน ในกรณีของนโยบายหน้ากากป้องกัน และระบุว่า เธอจะยังคงสวมหน้ากากต่อไปเพื่อป้องกันการติดเชื้อโคโรนาไวรัส
แต่ คริสตี ลี ซึ่งทำงานเป็นพนักงานขายในแถบเซาท์ฟลอริดา บอกว่า เธอแทบจะรอขึ้นเครื่องบินโดยไม่ต้องสวมหน้ากากไม่ไหวแล้ว โดยระบุว่า ตัวเธออยากจะนั่งอยู่บนเครื่องขณะที่มีประกาศยกเลิกกฎนี้ออกมาจริงๆ เพราะ จะได้ “ลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้น(เพราะความดีใจ)ตามทางเดินบนเครื่อง”
รายงานข่าวระบุว่า การที่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ยังคงสนับสนุนนโยบายบังคับสวมใส่หน้ากากระหว่างใช้บริการขนส่งสาธารณะนั้นมีออกมาในช่วงที่ความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐฯ อยู่ในระดับต่ำสุดอีกครั้งในรอบ 2 ปี โดยมีประชาชนราว 20% ยอมรับว่า ตนเองรู้สึกกังวลอย่างมากว่า ตนหรือสมาชิกในครอบครัวจะติดเชื้อโคโรนาไวรัส ซึ่งลดลงจากระดับ 25% ในการสำรวจเมื่อเดือนก่อนหน้า และจากระดับ 36% ในการสำรวจระหว่างเดือนธันวาคมของปีที่แล้วและเดือนมกราคมของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนกำลังระบาดหนัก
ขณะเดียวกัน ผู้ตอบแบบสอบถาม 33% บอกว่า ตนรู้สึกกังวลอยู่บ้าง แต่ 48% บอกว่า ไม่รู้สึกกังวลเลย
ผลการสำรวจล่าสุดของ AP-NORC ยังพบว่า ชาวอเมริกันราวครึ่งหนึ่งเห็นด้วยกับการบังคับให้ผู้ที่ทำงานในส่วนงานที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนจำนวนมากต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา แต่ 3 ใน 10 ไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ ขณะที่ ผู้ที่ตอบแบบสอบถามครึ่งหนึ่งเช่นกันสนับสนุนนโยบายการบังคับให้ผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมกับคนหมู่มาก เช่น คอนเสิร์ต งานแข่งกีฬา และการชมภาพยนตร์ ต้องสวมหน้ากากด้วย
ในส่วนของคำถามว่า คนในที่ทำงานควรใส่หน้ากากหรือไม่ ผลสำรวจจากกลุ่มคนทำงานระบุว่า 34% บอกว่า เห็นด้วย ขณะที่ 33% ไม่เห็นด้วย และอีก 33% บอกว่า ‘ยังไงก็ได้’
และเมื่อแบ่งกลุ่มผู้ตอบคำถามนี้ตามแนวความคิดด้านการเมือง ผู้สำรวจพบว่า 48% ของกลุ่มที่สนับสนุนพรรคเดโมแครตเห็นด้วยกับนโยบายการบังคับการใส่หน้ากากในที่ทำงาน แต่ 18% ไม่เห็นด้วย ส่วนในกลุ่มผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันนั้น 53% ไม่เห็นด้วย แต่ 18% เห็นด้วย
ไมค์ ออสเตอร์โฮล์ม ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและนโยบายโรคติดเชื้อ มหาวิทยาลัยแห่งมินนิโซตา ให้ความเห็นว่า การส่งสารเกี่ยวกับนโยบายบังคับสวมหน้ากากจะไม่มีปัญหามากเท่านี้ ถ้ามีการระบุให้ชัดเจนว่า หน้ากากนั้นต้องเป็นแบบที่ระบบกรอง N95 หรือ KN95 ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสมากกว่า
ออสเตอร์โฮล์ม กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ก็คือ การที่ผู้ที่เกี่ยวข้อง “สร้างความท้าทายให้ตัวเอง ในการรับมือกับประชาชนมีโอกาสเลือกตามใจ หรือไม่ก็สามารถแสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยวกราดต่อนโยบายนี้ได้ตามสบาย”
