แมนเฟรด สไตเนอร์ วัย 89 ปี ที่รัฐโรดไอเเลนด์ ได้รับการเเสดงความยินดีอย่างท่วมท้น หลังจากที่เขาผ่านสอบวิทยานิพนธ์เมื่อเดือนกันยายน และจบปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยบราวน์ ซึ่งเป็นสถานบันชื่อดังของสหรัฐฯ
เขาใช้เวลาทำตามความฝันนี้เป็นเวลาสองทศวรรษ แม้ว่าตนเองประสบความสำเร็จมาเเล้วในฐานะนักโลหิตวิทยา ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยความผิดปกติของเลือด
กว่าจะได้มาซึ่งความสำเร็จด้านวิชาการครั้งล่าสุด แมนเฟรด สไตเนอร์ต้องฝ่าฟันอุปสรรคด้านสุขภาพ โดยใช้ความมุมานะที่จะเดินตามฝันที่อยากทำมาตั้งแต่เด็กเป็นเเรงขับเคลื่อน
สไตเนอร์ กล่าวกับสำนักข่าวเอพีว่าการเรียนจบปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์ในครั้งนี้ทำให้เขาเต็มอิ่มกับผลลัพธ์ของความพยายามมากที่สุด
ชายผู้นี้เติบโตในประเทศออสเตรีย และอยากเป็นนักฟิสิกส์ตั้งเเต่ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย เพราะชอบความเฉพาะเจาะจงเเละความแม่นยำในศาสตร์นี้ เขายังได้เเรงบันดาลใจจากการอ่านงานเขียนของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และเเม็กซ์ เเพลงค์
อย่างไรก็ตามหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ครอบครัวของสไตเนอร์ เห็นว่าการเรียนสาขาเเพทยศาสตร์ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในยามที่โลกเกิดความผันผวน
และเขาเป็นนักเรียนเเพทย์จนจบการศึกษาจาก University of Vienna ในปีค.ศ. 1955
ไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้นเขาย้ายมาสหรัฐฯ เเละศึกษาต่อจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยา และยังเป็นศาสตราจารย์ด้านนี้ที่มหาวิทยาลัยบราวน์ ช่วงปี ค.ศ. 1985 ถึง 1994 นอกจากนั้นเขาทำงานด้านนี้ต่อที่หมาวิทยาลัยนอร์ธเเคโรไลนาอีกด้วย
หลังจากที่เขาเกษียณ สไตเนอร์ ในวัย 70 ปี หวนกลับมเป็นนักศึกษาอีกครั้งที่มหาวิทยาบราวน์ และเริ่มทำตามฝันด้วยการค่อยๆลงวิชาสาขาฟิสิกส์ และในที่สุดเขาก็ผ่านการสอบวิทยานิพนธ์ ในหัวข้อที่เกี่ยวกับอิเล็กตรอนเเะปฏิกิริยาควอนตัม เมื่อเดือนกันยายน
เขาเเละชีลา สไตเนอร์ภรรยาวัย 93 ปี มีลูกด้วยกันสองคน และหลานอีกหกคน โดยเขาจะฉลองวันเกิดครบ 90 ปีในเดือนนี้
เเม้เขาจะไม่ได้ทำลายสถิติโลก Guinness World Records ที่ชายในเยอรมนีวัย 97 ทำไว้ในฐานะผู้จบปริญญาเอกที่มีอายุมากที่สุด เมื่อ 13 ปีก่อน แต่แมนเฟรด สไตเนอร์กล่าวว่าการเรียนทำให้เขากระฉับกระเฉง
เขากล่าวทิ้งท้ายว่า ให้คน "ทำในสิ่งที่ตนรัก" จะได้ไม่เสียดายทีหลังว่าทำไมไม่เดินตามฝันเมื่อเวลาที่ล่วงเลยไปเเล้ว
(ที่มา: สำนักข่าวเอพี)