ท่ามกลางเรื่องเล่ากระแสหลักของเทศกาลขอบคุณพระเจ้า ยังคงมีความรู้สึกของชนพื้นเมืองเผ่าต่าง ๆ ที่ต่างออกไป ซึ่งสะท้อนถึงประวัติศาสตร์การถูกยึดครองจากผู้มาเยือน รวมถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้นส่วนบุคคล
เดิมทีแล้ว เทศกาลขอบคุณพระเจ้าที่มีขึ้นในวันพฤหัสบดีสุดท้ายของเดือนพฤศจิกายนในสหรัฐฯ คือวันที่ครอบครัวชาวอเมริกันมารวมตัวกันเฉลิมฉลองและสวดภาวนาขอความสำเร็จในเรื่องการเพาะปลูก สุขภาพ และการสู้รบ ก่อนที่เรื่องเล่าจะกลายมาเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์ที่กลุ่มนักแสวงบุญพิวริแทนส์จากยุโรป มาเทียบชายฝั่งในจุดที่เป็นรัฐแมสซาชูเซตส์ และแบ่งปันมื้ออาหารกับชนพื้นเมืองเผ่าแวมปานอกส์ (Wampanoags) เมื่อปี 1620
อย่างไรก็ดี เรื่องเล่าในแบบฉบับนี้ ละเลยข้อเท็จจริงที่ว่า ในอีก 17 ปีให้หลัง กลุ่มพิวริแทนส์บุกเข้าไปเผาทำลายหมู่บ้านของชนพื้นเมืองเผ่าพีควอท (Pequot) และยังจับชาวบ้านทั้งผู้หญิง ผู้ชายและเด็กไปเผาทั้งเป็น
ปัจจุบัน ชนพื้นเมืองอเมริกันให้ความหมายกับเทศกาลขอบคุณพระเจ้าในลักษณะที่แตกต่างกันไป
เชานา เชล ชาวเผ่าควีนอลท์ (Quinault) ที่อาศัยอยู่ในเมืองเฟอร์กัส ฟอลล์ รัฐมินเนสโซตา กล่าวว่า ในช่วงเทศขอบคุณพระเจ้า “คนพื้นเมืองอเมริกันกินอาหาร และดูฟุตบอลเหมือนชาวอเมริกันคนอื่น ๆ” แต่สำหรับบางคน “มันเป็นการกระตุ้นเตือน ถึงอดีตดำมืดที่ยากจะเฉลิมฉลอง”
เชลยอมรับว่า บ่อยครั้งเธอสงสัยว่าชีวิตในปัจจุบันจะเป็นอย่างไร หากชนเผ่าแวมปานอกส์ ไม่ร่วมเป็นพันธมิตรกับกลุ่มพิวริแทนส์
ชนพื้นเมืองอเมริกันหลายคนไม่ได้รู้จักเทศกาลขอบคุณพระเจ้า จนกระทั่งพวกเขาถูกส่งเข้าไปรับการศึกษาในโรงเรียนกินนอน ซึ่งเป็นสถานศึกษาสำหรับกล่อมเกลาให้ชนพื้นเมืองซึมซับวัฒนธรรมแบบแองโกล-อเมริกัน
โรเบอร์ตา บีเกย์ ศิลปินชนเผ่านาวาโฮที่อาศัยอยู่ในเมืองอัลเบอร์เคอร์คี รัฐนิวเม็กซิโก กล่าวว่า เขาเป็นชนพื้นเมืองรุ่นที่สองที่กินไก่งวงในวันขอบคุณพระเจ้า เขาเล่าด้วยว่า “มันเป็นธรรมเนียมในโรงเรียนกินนอน ฉันไม่เคยเข้าใจว่ามันคืออะไรไปมากกว่าการที่ครอบครัวมารวมตัวกัน กินอาหาร และช่วยปู่ย่าตายายตักน้ำหรือหาฟืน”
รีฟา สจ๊วต ชนพื้นเมืองเผ่านาวาโฮจากเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา เล่าว่าเทศกาลขอบคุณพระเจ้าครั้งแรกของเธอเกิดขึ้นในโรงเรียนกินนอนคริสเตียนสมัยเธอมีอายุ 4 ขวบ และถูกสอนให้รู้สึกซาบซึ้งถึงการได้รับการช่วยชีวิต
แต่สำหรับปัจจุบัน สจ๊วตเล่าว่า “ครอบครัวของฉันเฉลิมฉลองด้วยการอยู่ด้วยกัน และสั่งสอนลูก ๆ ของพวกเราถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในแบบดั้งเดิม ไม่ใช่แบบฉบับที่กลุ่มผู้ยึดครองพูดถึง”
สำหรับชนพื้นเมืองบางคน เทศกาลขอบคุณพระเจ้าคือการรำลึกถึงความสูญเสียของครอบครัว อแมนดา ทาเกส วอร์ บอนเนต์ ผู้สื่อข่าวที่มีเชื้อสายชนเผ่าโอกลาลา ลาโกตา (Oglala Lakota) เล่าว่า ลูกชายของเธอเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจต่อหน้าต่อตาขณะที่กำลังกินอาหารร่วมกันในวันขอบคุณพระเจ้า จากความสูญเสียในวันนั้น ทำให้เธอไม่อบไก่งวงอีกเลย และหวังว่าแผลในใจจะหายไปในสักวัน
แต่ไม่ใช่ว่าชนเผ่าพื้นเมืองทุกคนจะมีประสบการณ์แย่ ๆ เพราะสำหรับเจมส์ เกียโก เดวีส์ นักข่าวชาวโอกลาลา ลาโกตาอีกคนเล่าว่า ครอบครัวของเขามีฐานะยากจน ต้องดิ้นรนอยู่ตลอด และเทศกาลขอบคุณพระเจ้าคือช่วงเวลาที่จะได้กินอาหารดี ๆ
เดวิด คอร์นซิลค์ ชนพื้นเมืองเผ่าเชอโรกีจากเมืองทาลีควาห์ รัฐโอคลาโฮมา เล่าว่าพ่อของเขาไม่เห็นด้วยกับการเฉลิมฉลองเทศกาลนี้ เพราะคนอเมริกันอินเดียนไม่มีเหตุผลที่ต้องเฉลิมฉลองอะไร แต่ก็ไม่เคยบอกเหตุผล จนกระทั่งเขาได้เรียนเรื่องประวัติศาสตร์ชนพื้นเมืองในระดับไฮสคูล จึงได้รู้เหตุผลและเริ่มอ่านงานด้านประวัติศาสตร์เพิ่มเติมอีกมากมาย
หลายปีต่อมาเขาแต่งงานกับหญิงสาวจากเผ่าเชอโรกี แต่ครอบครัวฝ่ายภรรยาเป็นฝ่ายที่เฉลิมฉลองวันขอบคุณพระเจ้าแบบใหญ่โต แต่คอร์นซิลค์มองว่า “ความแตกต่างก็คือลูกของผมและหลานของผมรู้ประวัติศาสตร์” และยังกล่าวด้วยว่า “เราแสดงความขอบคุณสำหรับพรที่เราได้รับ และแบ่งปันสิ่งที่มีในดินแดนที่เรารัก กับผู้คนที่เรารัก”
อีกด้านหนึ่ง ลิน อีเกิล เฟเธอร์ ชนพื้นเมืองเผ่าซิคันกู ลาโกตา (Sicangu Lakota) ในเมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด เล่าว่าเธอเสียลูกชายไปจากเหตุการใช้ความรุนแรงโดยตำรวจเมื่อปี 2015 และในวันขอบคุณพระเจ้าปีนี้ เธอจะไปชุมนุมหน้าโรงพยาบาลเดนเวอร์ เพื่อประท้วงการที่เจ้าหน้าที่การแพทย์ตัดผมของชายชราชนเผ่าโอกลาลา ลาโกตา ระหว่างการรักษาพยาบาลโดยไม่ขออนุญาต โดยตามธรรมเนียมชนเผ่าแล้ว สมาชิกเผ่าผู้ชายจะไม่ตัดผมเลยตลอดชีวิต
เฟเธอร์กล่าวว่า “เดือนนี้เป็นเดือนมรดกชนพื้นเมืองอเมริกัน” และระบุด้วยว่า “คนของพวกเรายังคงทุกข์ทรมาน”
- ที่มา: VOA
กระดานความเห็น