วัคซีนต้านโควิด-19 ได้ช่วยชุบชีวิตการแสดงดนตรีสดให้ฟื้นคืนชีพในปีนี้ แต่จำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดความกังวลอีกครั้งว่า วงการดนตรีสหรัฐฯ จะฟื้นตัวได้จริงหรือไม่
สำนักข่าว Associated Press รายงานว่าจำนวนเคสโควิด-19 ที่กลับมาสูงขึ้นอีกครั้งทำให้เกิดการยกเลิกการแสดงคอนเสิร์ต และทำให้จำนวนผู้ชมลดลง
ด้วยเหตุดังกล่าว วงการดนตรีจึงได้พยายามผลักดันอย่างมากให้ผู้ชมคอนเสิร์ต รวมไปถึงพนักงาน และทีมงานหลังเวที ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ดังจะเห็นได้จาก คอนเสิร์ตของนักร้องวัยรุ่น Harry Styles ที่กำลังจะมาถึงในฤดูใบไม้ร่วงนี้ มีการขอให้คนดูแสดงหลักฐานว่าได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว หรือมีผลตรวจโควิด-19 เป็นลบ
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งและการทำให้การฉีดวัคซีนเป็นเรื่องจุดยืนทางการเมือง ทำให้ความพยายามดังกล่าวของวงการดนตรีต้องพบกับเรื่องปวดหัว หลังจากที่เมืองหรือรัฐต่าง ๆ มีกฎระเบียบ หรือคำสั่งของผู้ว่าการรัฐต่างกันออกไป โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการบังคับสวมใส่หน้ากากอนามัย หรือฉีดวัคซีน ทำให้ผู้จัดคอนเสิร์ตหลายคนเกิดความสับสนว่าพวกเขาจะใช้มาตรการใดได้บ้าง และมากน้อยแค่ไหน
สถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ตในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส พยายามลองใช้ข้อบังคับเรื่องวัคซีนและการตรวจโควิดในรูปแบบต่าง ๆ แต่แต่ละวิธีกลับมีความเสี่ยง เนื่องจากกฎหมายของรัฐเท็กซัสระบุว่าภาคธุรกิจไม่สามารถบังคับให้ลูกค้าแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนได้ หรือในบางกรณี กฎหรือข้อบังคับเกี่ยวกับโควิด-19 ก็ไปขัดกับกฎระเบียบอื่นของรัฐ เป็นต้น
ผู้จัดคอนเสิร์ตบางแห่ง เลือกที่จะทำตามคำร้องขอของศิลปิน ที่ขอให้แฟน ๆ แสดงผลตรวจโควิด และสวมหน้ากาก ซึ่งหากผู้ที่มาดูการแสดงไม่ยอมแสดงผลตรวจโควิด ก็สามารถใช้หลักฐานในการฉีดวัคซีนได้
ทอม เดอจอร์จ เจ้าของคลับที่จัดการแสดงดนตรีสดแห่งหนึ่งในรัฐฟลอริดา ให้สัมภาษณ์ว่าเขาถูกลูกค้าถ่มน้ำลายใส่หน้า หรือพยายามทำร้ายร่างกาย เพราะไม่พอใจที่ถูกบังคับให้สวมหน้ากากอนามัย เดอจอร์จมองว่า ความโกรธเกรี้ยวของลูกค้า มีสาเหตุจากการที่การสวมหน้ากากและนโยบายป้องกันโควิด ซึ่งเป็นเรื่องสุขภาพของชุมชน ถูกทำให้เป็นประเด็นทางการเมือง
รัฐฟลอริดา เช่นเดียวกับรัฐเท็กซัส ออกกฎห้ามไม่ให้มีการใช้วัคซีนพาสปอร์ต ซึ่งในบางกรณีมีผลบังคับใช้กับภาคธุรกิจเอกชน
เดอจอร์จมองว่า หากรัฐอื่นๆ ทำให้การแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนในการมาดูคอนเสิร์ตเป็นเรื่องปกติ หรือเป็นมาตรฐานแล้ว นักแสดงและนักดนตรีอาจจะจะไม่มาแสดงที่ฟลอริดา เพราะกฎข้อบังคับที่อ่อนยวบกว่า เพราะหากนักดนตรีไม่รู้สึกปลอดภัยแล้ว พวกเขาก็ไม่อยากมาแสดง
ส่วนนักร้องนักดนตรีเองก็ได้ออกมาเคลื่อนไหว ผลักดันให้ผู้เข้าชมคอนเสิร์ตฉีดวัคซีนเช่นกัน วง Foo Fighters. Phish, Maroon 5, The Killers และ Dead & Company ได้ประกาศอย่างเปิดเผยว่า พวกเขาต้องการให้แฟน ๆ แสดงผลการฉีดวัคซีนหรือผลตรวจโควิดก่อนเข้าชมคอนเสิร์ต
ด้านเจนนิเฟอร์ เนทเทิลส์ (Jennifer Nettles) ศิลปินเพลงคันทรี กล่าวว่าเธอมองเรื่องการบังคับฉีดวัคซีนจากมุมมองธุรกิจ โดยเฉพาะเมื่อมองว่าสุขภาพของเพื่อนร่วมงานของเธอก็มีความสำคัญเท่ากับสุขภาพของแฟน ๆ เนทเทิลส์กล่าวว่า จริงอยู่ที่ไม่สามารถบังคับให้ใครฉีดวัคซีนได้ แต่เธอมีสิทธิ์ที่จะบอกว่า คนที่ไม่ฉีดวัคซีนไม่มีสิทธิ์เข้าดูคอนเสิร์ต เพราะจะเป็นอันตรายต่อคนอื่น และนั่นไม่ใช่เรื่องการตัดสินคน แต่เป็นสิ่งที่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง
เธอกล่าววว่าเธอรู้สึกอึดอัดกับการแบ่งแยกทางการเมือง และการรับข้อมูลผิด ๆ ที่นำไปสู่การถกเถียงกันในหมู่แฟน ๆ และเพื่อนนักร้องนักดนตรี โดยเฉพาะในวงการดนตรีคันทรี ที่มีการแบ่งแยกการเมืองฝักฝ่ายชัดเจน
ในขณะเดียวกันก็มีนักร้องที่ออกมาต่อต้านการบังคับฉีดวัคซีนก็มีเช่นกัน เช่น Eric Clapton เจ้าของเพลงดัง Tears in Heaven และ Wonderful Tonight, และ Van Morrison โดยนักร้องคันทรี Travis Tritt กล่าวในแถลงการณ์ว่า เขามองว่านโยบายบังคับให้คนดูคอนเสิร์ตฉีดวัคซีนนั้นเป็นการเลือกปฏิบัติ
นาย พอล โลห์ (Paul Lohr) ประธานบริษัท New Frontier Touring ซึ่งเป็นผู้จัดคอนเสิร์ตให้ศิลปินกว่า 80 คน กล่าวว่า ความไม่ลงรอยกันในนโยบาย และเงื่อนไขที่เปลี่ยนไปตลอดเวลาตามอัตราการติดโควิด-19 ของแต่ละรัฐ ทำให้การจองหรือการจัดคอนเสิร์ต การทัวร์คอนเสิร์ตในหลาย ๆ เมือง ในปีนี้นั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก เกิดการเปลี่ยนแปลงในวินาทีสุดท้าย ที่อาจจะทำให้บางคอนเสิร์ตล่มได้
ในขณะที่วงดนตรีระดับท้อปสามารถยกเลิกการแสดงคอนเสิร์ตโดยอ้างเหตุผลและความกังวลเรื่องโควิด-19 นักดนตรีตัวเล็ก ๆ หลายคนที่ไม่มีเงินทุนหนาพอ ไม่สามารถยกเลิกการแสดงคอนเสิร์ตได้ นักดนตรีบางคนจึงมองว่าการระบาดของโควิด-19 ได้สร้างความไม่เท่าเทียมกัน และปัญหาในเชิงระบบให้กับนักดนตรีที่ต้องอาศัยรายได้จากการแสดงคอนเสิร์ตเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง โดยเฉพาะศิลปินหญิง และศิลปินผิวสี