ถือเป็นอีกเรื่องที่หลายคนรอคอย สำหรับผู้อำนวยการสร้าง ผู้กำกับ และเป็นนักแสดงนำเองแบบครบเรื่อง สำหรับ Clint Eastwood ตำนานที่ยังหายใจในวงการฮอลลีวู้ดในวัย 88 กะรัต ที่ฝากผลงานอันเลื่องชื่อทั้งหน้าจอหลังจอไว้มากมาย มาจับมือกับทีมงานนักแสดงอันคุ้นเคยอย่าง แบรดลีย์ คูเปอร์ ที่เคยร่วมงานในเรื่อง American Sniper จนกลายเป็นหนังรางวัลมาแล้ว มาคราวนี้ ต้องมารับบทหนักกับภาพยนตร์ดราม่าทริลเลอร์ The Mule
เรื่องนี้นำเค้าโครงจากเรื่องจริงของ Earl Stone ชายชราวัย 90 ปีที่ปลูกผักสวนครัวในรั้วบ้านเป็นชีวิตจิตใจ ที่กลายเป็นผู้ต้องหาขนโคเคนมูลค่า 3 ล้านดอลลาร์ จากมิชิแกนไปให้กับแก็งค์ค้ายาในเม็กซิโก
แต่ในเรื่องนี้ The Mule เนรมิตคุณตา Earl ให้เป็นชายชราขับรถกระบะข้ามเมือง ผู้รอดจากสายตาเจ้าหน้าที่ปราบปรามยาเสพติดแบบใต้จมูก ลักลอบขนส่งโคเคนจากพรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก มาให้กับเครือข่ายทั่วอเมริกา
ภาพยนตร์นี้เหมือนสร้างมาให้ Clint Eastwood โดยเฉพาะ ด้วยคุณวุฒิวัยวุฒิที่ส่งให้เขาเหมาะกับบทคุณตาผู้ผ่านประสบการณ์ที่ดีและร้าย และถ่ายทอดความแตกต่างทางสังคมในสายตาของคุณตาสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อย่างน่าสนใจ เรียกว่าเอาอยู่เลยสำหรับการส่งพลังการแสดงให้กับคนรอบข้างเพียงแค่บทพูดหรือการกระทำอันแสนธรรมดา และเหมือนกับการที่พาผู้ชมไปนั่งดูชีวิตของคุณปู่คุณตาที่สอนแง่คิดในการใช้ชีวิตได้ดีทีเดียว
ตลอดเกือบ 2 ชั่วโมง ทำให้เรียนรู้หลากหลายมิติ ทั้งแนวคิดแบบ Stereotype หรือการฝังหัวความคิดถึงกรอบเดิมๆ เช่น คนผิวสีและฮิสแปนิกจะถูกเพ่งเล็งเวลาตำรวจเรียก สิงห์มอเตอร์ไซค์ที่ต้องเป็นผู้ชาย ประเด็น Internet Disruptive หรือ การคืบคลานเข้ามาของอินเตอร์เน็ตที่ทำลายอาชีพมากมาย รวมทั้งเรื่องความสัมพันธ์ของครอบครัวที่เป็นมิติอันอบอุ่นอย่างน่าประหลาดในภาพยนตร์เรื่องนี้
ส่วนข้อคิดที่ได้หลังจากชม The Mule คือ แม้จะมีเงินทองมากมาย แต่คุณไม่อาจซื้อเวลาที่ผ่านไปแล้วกลับมาได้
ในอีกด้านหนึ่งคุณตา Earl ได้สอนวิถีแห่งการใช้ชีวิตแบบช้าๆ หรือ Slow Life ในภาษาของผู้สูงวัยว่า อย่าเร่งรีบเร่งรัดกับทุกสิ่งมากไปนัก และควรหัดชื่นชมสิ่งที่ดีที่สวยงามรอบข้างบ้าง
(บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย นีธิกาญจน์ กำลังวรรณ)