ช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า มีภาพยนตร์ครอบครัวฟอร์มใหญ่ออกมาให้ได้เลือกชม คราวนี้เป็นทีของค่ายหนังอนิเมชันฟอร์มยักษ์อย่าง Pixar ที่ขนภาพยนตร์กลิ่นอายละตินอเมริกันอย่าง Coco ที่อบอวนไปด้วยความรักความผูกพันของครอบครัว และเสียงกีตาร์ขับกล่อมอันไพเราะตลอดทั้งเรื่อง
Coco ถ่ายทอดการผจญภัยของ มิเกล เด็กน้อยที่ฝันอยากเป็นนักดนตรี ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามของบรรพบุรุษมากว่าร้อยปี ทว่า ในช่วงเทศกาลวันแห่งความตาย หรือ Day of the Dead มิเกลได้หลุดเข้าไปในดินแดนแห่งบรรพบุรุษโดยบังเอิญ และค้นพบว่าบรรพบุรุษของเขาอาจจะเป็นนักดนตรีอันยิ่งใหญ่ ทำให้การผจญภัยของมิเกลเต็มไปด้วยความสนุกสนาน การตามหาความฝัน และความรักความห่วงใยในครอบครัวที่ไม่เคยลืมกันแม้จะจากโลกมนุษย์ไปแล้วก็ตาม
Pixar ไม่เคยทำให้ผิดหวังในเรื่องนี้ ที่ประทับใจคือความเข้าใจและใส่ใจในรายละเอียด ที่จับเทศกาลวันแห่งความตายมาร้อยเรียงได้น่าสนใจ ไม่พยายาม white-wash คือทำให้เป็นฝั่งตะวันตกจนเกินไป การดำเนินเรื่องเรียกเสียงหัวเราะและเรียกน้ำตาแห่งความประทับใจ โดยเฉพาะ Coco คุณยายทวดซึ่งมีภาวะความจำเสื่อม เธอเป็นหัวใจของเรื่องได้พอๆ กับมิเกล บทเพลงที่ใช้ร้อยเรื่องเข้าด้วยกันนั้นลงตัว
มีหลายฉากให้ความหมายที่มากกว่าภาพยนตร์เด็กและครอบครัว เช่น ฉากด่านเข้าดินแดนแห่งบรรพบุรุษ และกรมรวมญาติ (The Department of Family Reunions) ซึ่งเหมือนกับการจิกกัดนโยบายผู้อพยพและการตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯเบาๆ
และดูเหมือน Disney จะลองโยนหินถามทางอีกครั้ง ด้วยการวางหนังสั้น Frozen ความยาว 25 นาทีไปในช่วงแรกก่อนที่ภาพยนตร์เรื่อง Coco จะเข้าฉายปกติ ซึ่งเหมือนเป็นการปูอารมณ์และเช็คกระแสความนิยมในตัวเอลซา แอนนา และเจ้าโอลาฟ ไปในตัวด้วย
สำหรับยุคที่ภาพยนตร์อนิเมชันถูกจัดอยู่ในระดับของภาพยนตร์แบบเด็กๆ ก็ต้องเอาใจช่วย Coco ให้กวาดรายได้เกินทุนสร้างมหาศาล เพราะถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ตัวผู้วิจารณ์นั่งชมภาพยนตร์เรื่องนี้จนจบเครดิตช่วงท้าย เพราะนั่งฟังเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ไพเราะและอิ่มเอมกับภาพยนตร์ Coco ที่ทำได้ลงตัวในทุกด้านจริงๆ
(บทวิจารณ์โดย นีธิกาญจน์ กำลังวรรณ)