ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถูกแฉอย่างเผ็ดร้อนในหนังสือ “Too Much and Never Enough : How My Family Created the World’s Most Dangerous Man” หรือ “มากไปและไม่เคยพอ : ครอบครัวของฉันสร้างชายที่อันตรายที่สุดในโลกขึ้นมาได้อย่างไร” ที่มีกำหนดตีพิมพ์ในวันที่ 14 ก.ค. นี้
โดยผู้เขียนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นหลานสาวแท้ๆ ของผู้นำสหรัฐฯ เอง
แมรี แอล ทรัมป์ นักจิตวิทยาวัย 55 ปี บุตรสาวของเฟร็ด ทรัมป์ จูเนียร์ พี่ชายผู้ล่วงลับของผู้นำสหรัฐฯ เขียนในหนังสือเล่มดังกล่าวว่า ปัญหาต่าง ๆ ทั้งการระบาดของไวรัสโควิด-19 แนวโน้มว่าอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และการแบ่งแยกทางสังคมที่หยั่งรากลึกขึ้น ต่างมีส่วนให้ผู้นำสหรัฐฯ เผยถึงลักษณะที่แย่ที่สุดออกมา ชัดเจนยิ่งกว่าเมื่อครั้งที่่่สหรัฐฯ มีเศรษฐกิจที่มั่นคงและไม่เผชิญกับวิกฤติ
เธอระบุว่า ปัจจัยดังกล่าว รวมทั้งการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ชอบการแบ่งแยก และความไม่แน่นอนของอนาคตประเทศ นั้นทำให้เกิด “หายนะอย่างสมบูรณ์แบบ” ที่ไม่มีใครจัดการได้แย่กว่าอาของเธอเอง
แมรี แอล ทรัมป์ ยังเขียนด้วยว่า ปัญหาต่าง ๆ ในขณะนี้ทำให้ทรัมป์ไม่สามารถที่จะ “โกหกและปั้นเรื่อง” เพื่อปกป้องตัวเองในสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจได้อีกต่อไป ทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก ถูกตรวจสอบหนักอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน และยิ่งทำให้เขาอยาก “แก้แค้น” ด้วยการไม่อนุมัติเงินภาษีเพื่อเป็นทุนจำเป็น ซื้ออุปกรณ์ป้องกันไวรัสและเครื่องช่วยหายใจแก่รัฐที่ไม่สนับสนุนเขาเท่าที่ควร
ในหนังสือเล่มนี้ แมรี แอล ทรัมป์ เท้าความไปตั้งแต่สมัยที่โดนัลด์ ทรัมป์ ยังเป็นนักเรียนว่า เคยจ้างเพื่อนให้ทำข้อสอบมาตรฐานเข้ามหาวิทยาลัย SAT ให้แทน และยังให้แมรีแอนน์ ทรัมป์ แบร์รี่ พี่สาวของเขา ทำการบ้านให้มาตลอด
โดนัลด์ ทรัมป์ ยังเคยกังวลด้วยว่า เกรดของเขาอาจไม่ดีพอที่จะเข้าวิทยาลัยธุรกิจวอร์ตันแห่งมหาวิทยาลัยรัฐเพนซิลเวเนีย (University of Pennslyvania) ได้ โดยในที่สุดเขาก็ได้เข้าเรียนโดยโอนย้ายหน่วยกิตจากมหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม
เธอยังเผยด้วยว่า ผู้นำสหรัฐฯ ที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเคร่งศาสนาผู้นี้ กลับไม่ได้เป็นศาสนิกชนที่ดีหรือมีหลักการอะไร เขาจะเข้าโบสถ์ก็ต่อเมื่อมีสื่อมารอทำข่าวเท่านั้น ซึ่งเธอและแมรีแอนน์ ทรัมป์ แบร์รี่ ไม่คิดว่าเขาจะได้เป็นประธานาธิบดีจริง ๆ เมื่อเขาลงชิงตำแหน่งครั้งแรก แต่เมื่อเขาชนะเลือกตั้งแบบพลิกล็อค เธอก็เห็นว่า “ผู้ลงคะแนนเสียงที่หวาดกลัวได้เปลี่ยนประเทศนี้ให้กลายเป็นภาพใหญ่ของครอบครัวที่มีปัญหาของเราแล้ว”
หนังสือเล่มนี้ยังกล่าวถึงสาเหตุปัญหาฝังลึกในครอบครัวทรัมป์ โดยเขียนว่า เฟร็ด ทรัมป์ ปู่ของผู้เขียน เป็นตัวการสร้างความแตกแยกในครอบครัว และคนที่ได้ประโยชน์ก็คือโดนัลด์ ทรัมป์ ในขณะที่สมาชิกครอบครัวคนอื่นรวมทั้งพ่อของเธอกลับต้องสูญเสีย แต่ตัวโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไร ตัวเขาเป็นคนไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และเรื่องนี้ก็ทำให้เธอสูญเสียความเชื่อมั่นในคุณค่าของการเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเช่นกัน
ในประเด็นนี้ ผู้นำสหรัฐฯ เคยกล่าวกับหนังสือพิมพ์เดอะวอชิงตันโพสต์เมื่อปีที่แล้วว่า เขาเสียใจที่เคยพยายามกดดันให้ เฟร็ด ทรัมป์ จูเนียร์ เข้าร่วมทำธุรกิจของครอบครัว ทั้งที่ตัวเฟร็ดเองต้องการเป็นนักบินมากกว่า เขากล่าวด้วยว่า โรคติดสุราเรื้อรังที่คร่าชีวิตของพี่ชายเขาเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เขาตัดสินใจไม่ดื่มสุรา
ทั้งนี้ หนังสือเล่มนี้เกือบจะไม่ได้ตีพิมพ์ เนื่องจากโรเบิร์ต ทรัมป์ น้องชายของผู้นำสหรัฐฯ ฟ้องแมรี แอล ทรัมป์ โดยอ้างถึงข้อตกลงของสมาชิกครอบครัวทรัมป์เมื่อ 20 ปีที่แล้วว่า ไม่ตีพิมพ์เรื่องราวของสมาชิกหลักในครอบครัวก่อนที่เจ้าตัวจะอนุญาต
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ศาลสั่งระงับไม่ให้แมรี แอล ทรัมป์ และตัวแทนของเธอจัดจำหน่ายหนังสือได้ แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์นิวยอร์กก็มีความเห็นว่า สำนักพิมพ์ไซมอน แอนด์ ชูสเตอร์ ผู้ตีพิมพ์หนังสือ ไม่ได้อยู่ในข่ายของคำตัดสินดังกล่าว โดยทางสำนักพิมพ์กล่าวเมื่อวันจันทร์ (6 ก.ค.) ว่า จะตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้เร็วกว่ากำหนดการเดิมสองสัปดาห์ เนื่องจากมีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก
ทางด้านความเห็นจากฝั่งทำเนียบขาวนั้น เคลีห์ แมคเอนานี โฆษกทำเนียบขาว กล่าวว่า แม้เธอจะยังไม่เห็นหนังสือเล่มดังกล่าว แต่ก็รู้ได้ว่าหนังสือนี้้กล่าวหาผู้นำสหรัฐฯ อย่างน่าตลกขบขันและมีแต่เรื่องที่ไม่จริง
ในขณะที่ เคลลี่แอนน์ คอนเวย์ ที่ปรึกษาทำเนียบประธานาธิบดี ก็กล่าวกับสำนักข่าวฟอกซ์ นิวส์ ว่า มีหนังสือจำนวนมากที่ไม่ได้รับการตรวจสอบความถูกต้อง เธอยังเห็นว่า เรื่องภายในครอบครัวก็ควรอยู่แค่ภายในครอบครัวเท่านั้น