สำหรับนาย ไวเวิร์น แฟลตต์ แล้ว “เอลลี” น้องหมูพุงพลุ้ยพันธุ์พ็อตเบลลี น้ำหนักตัวเกือบ 50 กิโลกรัม ไม่ต่างอะไรจากสัตว์เลี้ยงในบ้านอย่างสุนัขและแมว เอลลีชอบมานอนซุกดูทีวีกับเขา และบางครั้งก็ยังกลิ้งตัวไปมาให้เขาเกาพุงอีกด้วย เอลลีคือ “สมาชิกครอบครัว” คนหนึ่ง และยังเป็น “สัตว์เลี้ยงเยียวยาจิตใจ” หรือ emotional support animal ที่ช่วยเยียวยาให้เขาผ่านการหย่าร้างและการเสียชีวิตของแม่อีกด้วย
แต่สำหรับเจ้าหน้าที่หมู่บ้านคานาโจฮารี (Canajoharie) ในทางตอนบนของรัฐนิวยอร์ก เอลลี เป็นหมูในฟาร์มตัวหนึ่ง และการเลี้ยงหมูในบ้าน ก็เป็นการทำผิดกฎระเบียบของชุมชน
ข้อพิพาทระหว่าง ไวเวิร์น แฟลตต์ และหมู่บ้าน กำลังจะกลายเป็นข้อพิพาททางกฎหมายที่ได้รับความสนใจจากพลพรรคคนรักหมู ที่มองว่า หมูเป็นสัตว์เลี้ยงประเภทหนึ่ง ไม่ใช่แหล่งโปรตีนเพียงอย่างเดียว
เอลลีเป็นหมูแคระพ็อตเบลลีเวียดนามที่สูงประมาณหัวเข่า มีขนสีดำ นายแฟลตต์รับเอาเอลลีมาเลี้ยงในปี ค.ศ.2018 เมื่อเขายังอาศัยอยู่ในรัฐเซาธ์แคโรไลนา ซึ่งขณะนั้นเอลลีตัวเล็กเท่ากับรองเท้าข้างหนึ่งเท่านั้น แฟลตต์กล่าวว่าเอลลีเป็นหมู่ที่ฉลาดมาก ยิ่งกว่าสุนัขที่เขาเลี้ยงไว้ และยังสามารถรับรู้ได้อีกด้วยเมื่อเขารู้สึกเศร้า โดยจะเข้ามาซุกตัวกับเขา
ต่อมาแฟลตต์และเอลลีย้ายมาอยู่ที่เมืองคานาโจฮารี โดยแฟลตต์ซื้อบ้านหลังหนึ่งใกล้กับศูนย์กลางของหมู่บ้าน โดยตั้งใจจะซ่อมแซมปรับปรุงใหม่ เพื่อเปิดร้านอาหารในบริเวณชั้นล่าง
เจ้าหน้าที่ด้านกฎหมายของหมู่บ้านที่เข้ามาตรวจความเรียบร้อยของตึก บอกกับแฟลตต์ว่าการเลี้ยงหมูของเขานั้นผิดกฎหมาย แต่เมื่อแฟลตต์ยังคงเลี้ยงเอลลีในบ้านต่อไป เขาก็ได้รับการเตือนอย่างเป็นทางการว่าเขาทำผิดกฎท้องถิ่นที่ห้ามไม่ให้มีการเลี้ยงสัตว์ประเภทปศุสัตว์ไว้ในหมู่บ้าน การทำผิดกฎท้องถิ่นดังกล่าวจะถือเป็นความผิดอาญาประเภทลหุโทษ
อย่างไรก็ตาม แฟลตต์ตัดสินใจที่จะสู้ไม่ถอย
แฟลตต์อ้างว่าเอลลีนั้นเป็นหมูที่สะอาดและฉลาด เพื่อนบ้านของเขาก็พากันลงนามเป็นลายลักษณ์อักษรว่าพวกเขาชอบเอลลี
ข้อปฏิบัติด้านเคหสถานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ นั้น ระบุว่าแต่ละท้องถิ่นต้องให้ “ที่พักพิงที่สมเหตุสมผล” หากผู้อาศัยในท้องถิ่นสามารถพิสูจน์ได้ว่าจำเป็นต้องมีสัตว์เลี้ยงเยียวยาวจิตใจ ทนายของแฟลตต์พยายามอ้างว่า ลูกความของเขามีคุณสมบัติดังกล่าว และ เอลลีนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงเยียวยาจิตใจที่ช่วยให้แฟลตต์ไม่ต้องกินยาและจัดการกับภาวะวิตกกังวลของเขาได้
อย่างไรก็ตาม ทนายของหมู่บ้านโต้กลับในเอกสารที่ยื่นต่อศาลว่า หมูนั้นอาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคนในหมู่บ้าน และแย้งว่าหากประชาชนทุกคนไม่ทำตามกฎโซนนิ่งของหมู่บ้าน สังคมก็จะไร้ขื่อไร้แป นอกจากนั้นยังระบุด้วยว่า แฟลตต์ไม่มีคุณสมบัติที่จะมีสัตว์เลี้ยงเยียวยาจิตใจ ส่วนบัตรประจำตัวของหมูของเอลลี ที่บอกว่าเอลลี “ได้รับการลงทะเบียนเป็นสัตว์เยียวยาจิตใจ” นั้น ก็เป็นบัตรที่หาซื้อได้โดยทั่วไป โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการทางกฎหมายแต่อย่างใด ส่วนแฟลตต์นั้นก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาเป็นผู้พิการ หรือผู้ไร้ความสามารถทางใดทางหนึ่ง ที่จำเป็นต้องพึ่งพาสัตว์เยียวยาจิตใจ โดยเฉพาะหมู อีกด้วย
ทั้งแฟลตต์และเจ้าหน้าที่หมู่บ้าน มีกำหนดที่จะต้องขึ้นให้การในชั้นศาลในวันที่ 22 มีนาคมนี้ ก่อนที่กำหนดการดังกล่าวจะถูกเลื่อนออกไป ซึ่งหากผู้พิพากษาพบว่าแฟลตต์มีความผิดจริง เขาอาจจะถูกตัดสินจำคุก หรืออาจได้รับคำสั่งให้นำหมูออกไปอยู่ที่อื่น
สัตว์เยียวยาจิตใจ หรือ emotional support animals นั้น มีให้เห็นได้ทั่วไปในสหรัฐฯ ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาสายการบินในสหรัฐฯ เคยอนุญาตให้ผู้โดยสารนำหมู กระต่าย นก และสัตว์อื่น ๆ เดินทางบนเครื่องบินได้ หากสัตว์เหล่านั้นเป็นสัตว์เยียวยาจิตใจ ก่อนที่เจ้าหน้าที่การคมนาคมแห่งสหรัฐฯ จะประกาศในปี ค.ศ.2020 ว่าสายการบินไม่จำเป็นต้องอนุญาตให้สัตว์เยียวยาจิตใจขึ้นเครื่องบินอีกต่อไป
ไวเวิร์น แฟลตต์ ไม่ใช่เป็นเจ้าของหมูรายแรกที่ทำผิดกฎหมายการเคหะ ในปี ค.ศ.2019 ครอบครัวหนึ่งที่อยู่ชานเมืองบัฟฟาโลไม่ได้รับอนุญาตให้เลี้ยงหมูพ็อตเบลลี ชื่อ พอร์ค ชอป ที่พวกเขาอ้างว่าเป็นหมูเยียวยาจิตใจ ส่วนในปี ค.ศ.2018 ผู้หญิงคนหนึ่งในรัฐอินเดียนา ก็ถูกสั่งให้นำหมูไปเลี้ยงที่อื่น
ถึงแม้ว่าชาวอเมริกันจะเลี้ยงหมูขนาดเล็กเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านมาเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว บางคนก็ยังมองว่าหมูเป็นปศุสัตว์ประเภทหนึ่ง มีบางชุมชนหรือเขตปกครองในสหรัฐฯ ที่ยอมให้มีการเลี้ยงหมูในบ้านเป็นสัตว์เลี้ยง แต่ก็มักจะมีข้อบังคับเรื่องน้ำหนัก และอนุญาตเฉพาะหมูพันธุ์พ็อตเบลลี ซึ่งมีขนาดเล็กเท่านั้น จากข้อมูลของสมาคมหมูเลี้ยงในบ้านแห่งทวีปอเมริกาเหนือ
แฟลตต์กล่าวว่าเขาได้รับการติดต่อจากผู้คนที่อาสานำเอาเอลลีไปเลี้ยงที่อื่น แต่เขายืนยันว่าเขาจะต่อสู้เพื่อเก็บเอลลีเอาไว้