เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุในโพสต์ทางแพลตฟอร์มทรูธโซเชียล (Truth Social) ว่า รัสเซียไม่ได้ให้ความช่วยเหลือรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีบะชาร์ อัล-อัซซาด แห่งซีเรีย เพราะว่า “ทหารรัสเซียเกือบ 600,000 คนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต” ในสงครามกับยูเครน และยังประเมินด้วยว่า ยูเครนนั้นสูญเสียทหารไปราว “400,000 นาย”
ภายในวันเดียวกับที่ทรัมป์โพสต์ข้อความนี้ ดมิทรี เพสคอฟ โฆษกประธานาธิบดีรัสเซีย ออกมาปธิเสธคำกล่าวอ้างของว่าที่ผู้นำทำเนียบขาวทันที และยืนยันว่า ตัวเลขที่ทรัมป์ใช้นั้นมาจากการประเมินที่ไม่ถูกต้องนักของรัฐบาลกรุงเคียฟ พร้อมอ้างด้วยว่า ยูเครนนั้นเผชิญความสูญเสียทางทหารในระดับที่สูงกว่าของรัสเซียมาก:
“สำหรับตัวเลขที่มีการประกาศออกมาเกี่ยวกับการสูญเสียของทั้งสองฝ่ายนั้น ชัดเจนเลยว่า นั่นเป็นการนำเสนอการตีความของฝั่งยูเครนและสะท้อนให้เห็นถึงจุดยืนอย่างเป็นทางการของยูเครน ตัวเลขที่แท้จริงนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง ความสูญเสียของยูเครนนั้นมากกว่าของรัสเซียหลายเท่านัก”
แต่คำกล่าวอ้างทั้งหมดนี้ของโฆษกเครมลินเป็นความเท็จ
ตัวเลขผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ทรัมป์หยิบยกขึ้นมาพูดนั้นใกล้เคียงกับการประเมินในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาจากยูเครน ฝ่ายกลาโหมและเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของชาติตะวันตก รวมทั้งรายงานของสื่อตะวันตกด้วย โดยข้อมูลทั้งหมดบ่งชี้ว่า รัสเซียสูญเสียทหารมากกว่ายูเครน
ข้อมูลจากเสนาธิการกองทัพยูเครน ณ วันที่ 8 ธันวาคม ระบุว่า ความสูญเสียของรัสเซียในสงครามรุกรานยูเครนที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ปี 2022 ซึ่งรวมทั้งกรณีผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บนั้น เป็นทหารจำนวน 751,910 นาย ซึ่งสูงกว่าตัวเลข 600,000 นายที่ทรัมป์อ้างถึงอย่างมาก
ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ระบุในโพสต์ทางเทเลแกรมด้วยว่า ข้อมูลถึงวันที่ 6 ธันวาคมนั้นชี้ว่า ในการทำสงครามกับยูเครน “รัสเซียประสบความสูญเสียกว่า 750,000 คน โดยมีชาวรัสเซียที่ถูกสังหาร 198,000 คนและที่ได้รับบาดเจ็บกว่า 550,000 คน”
เซเลนสกีประเมินด้วยว่า ความสูญเสียของยูเครนประกอบด้วยผู้เสียชีวิต 43,000 คนและผู้ได้รับบาดเจ็บ 370,000 คน หรือรวมกันแล้วเป็น 413,000 คนซึ่งใกล้เคียงกับข้อมูลที่ทรัมป์อ้างในโพสต์
ส่วนตัวเลขการประเมินจากประเทศอื่น ๆ สำหรับตัวเลขการสูญเสียของทั้งสองฝั่งออกมาคล้าย ๆ กัน เช่น เมื่อวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุระหว่างเข้าร่วมการประชุม Reagan National Defense Forum ว่า นับตั้งแต่เปิดฉากทำสงครามเต็มรูปแบบกับยูเครน รัสเซียสูญเสียทหารไปแล้วกว่า 700,000 นาย
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน เซอร์โทนี ราดาคิน ประธานคณะผู้บัญชาการเหล่าทัพอังกฤษ ระบุว่า รัสเซียน่าจะใกล้สูญเสียทหารเกือบ 700,000 นายที่ไม่เสียชีวิตก็ได้รับบาดเจ็บหนัก เนื่องจากสงครามในยูเครน
เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม มาร์ค รุตเทอ เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) กล่าวว่า “ทหารรัสเซียกว่า 600,000 นาย ไม่ถูกสังหารก็ได้รับบาดเจ็บ ในสงครามของ[ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์] ปูติน และเขา(ปูติน) ก็ไม่สามารถประคองกำลังรับมือการโจมตีของยูเครนต่อไปได้ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากต่างชาติ”
สื่อ Politico อ้างข้อมูลจากเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ รายหนึ่งและรายงานว่า จนถึงวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา รัสเซียสูญเสียทหารของตนไปแล้วกว่า 600,000 นายในสงครามกับยูเครน โดยเดือนกันยายนของปีนี้คือเดือนที่มีการเสียชีวิตของทหารมากที่สุด
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ยังไม่ได้เปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการของการเสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บของฝั่งยูเครนจากสงครามที่ดำเนินอยู่นี้ออกมา
อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal อ้าง “การประเมินของยูเครนที่อยู่ในชั้นความลับ” และรายงานว่า ทหารยูเครนราว 80,000 นายถูกสังหารไปแล้ว และมีอีกประมาณ 400,000 นายที่ได้รับบาดเจ็บ นับตั้งแต่รัสเซียเปิดฉากรุกรานเพื่อนบ้านแห่งนี้อย่างเต็มรูปแบบเมื่อเกือบ 3 ปีก่อน
ส่วนหนังสือพิมพ์ The New York Times รายงานเมื่อวันที่ 10 ตุลาคมว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รายหนึ่งประเมินว่า น่าจะมีทหารยูเครนกว่า 57,500 นายที่ถูกสังหารไป และอีกราว 250,000 นายที่ได้รับบาดเจ็บในการทำสงครามกับรัสเซีย
สตาฟรอส อัตลามาโซกลู นักวิเคราะห์เขียนบทความให้สื่อออนไลน์ The National Interest และให้ความเห็นที่ตอกย้ำระดับความรุนแรงของการสูญเสียของรัสเซียว่า กองทัพมอสโกนั้นสูญเสียกำลังในระดับพอ ๆ กับเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 และเฉลี่ยแล้วมีทหารเสียชีวิตวันละ 1,500 นาย
อัตลามาโซกลู กล่าวด้วยว่า “การโจมตีอย่างไม่ลดละของกองทัพรัสเซียเข้าใส่ยูเครนยังคงทำให้เกิดความสูญเสียเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (และ)กองทัพรัสเซียน่าจะเสียกำลังพลในแต่ละวันราว 1,500 นาย โดยมีการคาดว่าตัวเลขน่าจะสูงถึงเกือบ 800,000 นายภายในสิ้นปี”
- ที่มา: ฝ่าย Fact Check วีโอเอ