เมื่อวันพุธ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน สนทนาผ่านทางโทรศัพท์กันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ผู้นำสหรัฐฯ คว้าชัยชนะจากศึกเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน
ทำเนียบขาวระบุว่า ผู้นำสหรัฐฯ “ยืนยันว่าจะปกป้องความมั่นคง ความมั่งคั่ง สุขภาพ และการใช้ชีวิตของชาวอเมริกันก่อนเป็นอันดับแรก และคุ้มครองภูมิภาคอินโดแปซิฟิคที่เสรีและเปิดกว้าง”
ผู้นำทั้งสองประเทศยังหารือเกี่ยวกับการระบาดของโควิด-19 การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และความเป็นไปได้ที่ทั้งสองประเทศจะเดินหน้าร่วมมือเพื่อควบคุมอาวุธอย่างเป็นรูปธรรมและเห็นผล
อย่างไรก็ตาม ไบเดนก็ยืนยันในหลายประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายเห็นไม่ตรงกัน โดยทำเนียบขาวระบุว่า ผู้นำสหรัฐฯ กังวลถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนที่ “บีบบังคับและไม่เป็นธรรม” การปราบปรามผู้ประท้วงในฮ่องกง การละเมิดสิทธิมนุษยชนในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ และการคุกคามในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น รวมถึงท่าทีต่อไต้หวัน
ทางด้านสถานีโทรทัศน์ทางการของจีน ก็รายงานว่า ผู้นำจีนกล่าวกับผู้นำสหรัฐฯ ว่า ความสัมพันธ์แบบทวิภาคีเป็นทางออกเดียวที่จะแก้ไขและจัดการความแตกต่างของทั้งสองประเทศได้ โดยเขาเรียกร้องให้มีการกลับมาใช้กลไกเจรจาแบบทวิภาคีเพื่อ “หลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด”
รายงานของสื่อทางการจีนยังระบุว่า ประธานาธิบดีสีกล่าวกับประธานาธิบดีไบเดนว่า เขาหวังว่าสหรัฐฯ จะดำเนินการ “อย่างระมัดระวัง” ต่อประเด็นต่างๆ รวมถึงประเด็นไต้หวัน ฮ่องกง และเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ซึ่งเป็นประเด็นกิจการภายในของจีนและ เป็น“อธิปไตยและบูรณภาพทางดินแดน” ของจีน
การสนทนาระหว่างผู้นำทั้งสองมีขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ผู้นำสหรัฐฯ เดินทางเยือนกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุด โดยไบเดนส่งสัญญาณว่า รัฐบาลชุดนี้เตรียมพร้อมรับมือกับอำนาจของจีนที่เพิ่มมากขึ้น โดยเขาประกาศจัดตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อตรวจสอบประเด็นต่างๆ ตั้งแต่ยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ จนถึงสถานะของเทคโนโลยีและการข่าวกรอง เพื่อรับมือกับจีน