อิหร่านประกาศในวันจันทร์ว่า สามารถเสริมคุณภาพของแร่ยูเรเนียมที่ใช้ในการผลิตนิวเคลียร์ได้เกินกำหนดที่ระบุไว้ในสนธิสัญญาควบคุมนิวเคลียร์ที่ทำไว้กับประเทศผู้นำโลกเมื่อปี ค.ศ. 2015 แล้ว
รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่าน โมฮัมหมัด จาว๊าด ซารีฟ กล่าวต่อสำนักข่าว ISNA ของอิหร่านว่า อิหร่านเสริมคุณภาพแร่ยูเรเนียมได้เกินระดับ 300 กิโลกรัม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่อิหร่านได้รับอนุญาตตามที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญาดังกล่าว
ขณะเดียวกัน สำนักงานตรวจสอบปรมาณูระหว่างประเทศ ยืนยันว่าอิหร่านได้เสริมคุณภาพแร่ยูเรเนียมเกินระดับที่กำหนดไว้แล้วจริงๆ
ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่อิหร่านละเมิดข้อตกลงที่ทำไว้กับประเทศมหาอำนาจ 6 ประเทศ ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากข้อตกลงนี้ไปเมื่อปีที่แล้ว
ด้านนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู กล่าวว่า การกระทำของอิหร่านครั้งล่าสุดคือก้าวสำคัญที่จะทำให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง พร้อมทั้งขอให้สหภาพยุโรปร่วมกดดันอิหร่านด้วยการใช้มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจ
ส่วนรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศของรัสเซีย เซอร์เก เรี๊ยบคอฟ กล่าวว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่อิหร่านละเมิดข้อตกลงที่ทำไว้ แต่ก็ไม่ควรตื่นตระหนกเกินไป และว่าการที่อิหร่านทำเช่นนี้เป็นผลมาจากการที่สหรัฐฯ ถอนตัวออกจากข้อตกลงดังกล่าวก่อน
เมื่อเดือน พ.ค. ประธานาธิบดีอิหร่าน ฮัสซาน รูฮานี กล่าวว่า อิหร่านจะไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดเรื่องปริมาณแร่ยูเรเนียมอีกต่อไป เพื่อตอบโต้ที่สหรัฐฯ ถอนตัวออกจากข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ ปี ค.ศ.2015 และนำมาตรการลงโทษกลับมาใช้กับอิหร่าน
ต่อมา รัฐบาล ปธน.ทรัมป์ ได้ประกาศมาตรการลงโทษชุดใหม่ต่อกรุงเตหะราน โดยมุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมน้ำมันของอิหร่าน เพื่อกดดันให้อิหร่านยอมเจรจาข้อตกลงฉบับใหม่
หลังจากการถอนตัวของสหรัฐฯ อิหร่านและประเทศที่ร่วมลงนามอีก 5 ประเทศ คือ รัสเซีย ฝรั่งเศส อังกฤษ จีน และเยอรมนี ยังคงยึดมั่นตามข้อตกลงดังกล่าวต่อไป แต่ทางอิหร่านระบุว่า ประเทศที่ยังเหลือในข้อตกลงนั้นไม่ได้ยื่นมือเข้าช่วยเพื่อพยุงเศรษฐกิจอิหร่านที่กำลังเผชิญการลงโทษจากรัฐบาลสหรัฐฯ เท่าที่ควร