การโจมตีของผู้ก่อการร้ายในสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 20 ปีที่แล้ว ไม่เพียงแค่สร้างบาดแผลในความรู้สึกของชาวอเมริกันเชื้อสายอาหรับและที่เป็นชาวมุสลิมเท่านั้น แต่คนเหล่านี้ยังได้รับผลกระทบซ้ำเติมจากมาตรการและนโยบายต่างๆ ที่ทางการสหรัฐฯ นำมาใช้หลังเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย
อย่างเช่น เมื่อวันที่ 11 กันยายนปี 2001 คุณโมนา เอเมอร์ สตรีอเมริกันชาวมุสลิมเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตวิทยาลัยอยู่ที่รัฐโอไฮโอ เธอเห็นข่าวเครื่องบินพุ่งเข้าชนอาคารเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์จากโทรทัศน์พร้อมกับเพื่อนและอาจารย์ และจำได้ว่าความรู้สึกขณะนั้นคือตกตะลึง กลัว สับสนและสิ้นหวัง
แต่หลังจากที่รายงานข่าวของโทรทัศน์บางสถานีเริ่มคาดการณ์เกี่ยวกับภูมิหลังของผู้จี้บังคับเครื่องบินเข้าชนตึกแล้ว เธอก็รู้ทันทีว่าชีวิตของเธอได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
คุณเอเมอร์ บอกว่า แม้กระทั่งก่อนเหตุการณ์ 11 กันยายน ในฐานะคนอเมริกันเชื้อสายอาหรับนั้นเธอได้ถูกแบ่งแยกปฏิบัติอยู่แล้ว อย่างเช่น การขอเช่าอพาร์ตเมนต์บางแห่ง แต่หลังจาก 11 กันยายนปี 2001 เธอยิ่งต้องระวังตัวมากขึ้นในที่สาธารณะ
และแม้กระทั่งงานวิจัยของเธอเรื่องสุขภาพจิตและการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมใหม่ของคนอเมริกันเชื้อสายอาหรับก็ถูกอาจารย์ขอให้ระงับไปก่อนเพราะไม่อยากให้เป็นที่สะดุดตาของเจ้าหน้าที่ แต่เมื่อเธอกลับมาทำโครงการต่อและตีพิมพ์งานวิจัยนี้เธอก็ได้รับอีเมลโจมตีรวมทั้งได้รับคำขู่ฆ่าด้วย
คุณโมนา เอเมอร์ เป็นตัวอย่างหนึ่งของชาวอเมริกันมุสลิมและคนเชื้อสายอาหรับที่ได้รับ 'บาดแผลซ้ำสาม' จากเหตุการณ์ 11 กันยายน
อาจารย์วาฮิบา อาบูราส ของมหาวิทยาลัย Adelphi University ในรัฐนิวยอร์ก ชี้ว่าบาดแผลแรกสุดนั้นมาจากการได้เห็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจในวันเกิดเหตุ บาดแผลที่สองมาจากปฏิกิริยาและการโจมตีจากสังคมและคนรอบตัว ส่วนบาดแผลที่ตอกย้ำซ้ำสามนั้นคือนโยบายของรัฐบาลซึ่งมีขึ้นเพื่อมุ่งตรวจสอบคนอเมริกันเชื้อสายอาหรับและทำให้คนกลุ่มนี้ตกเป็นเป้าของการก่อกวนรังควานและถูกแบ่งแยกปฏิบัติมากขึ้นอีก
ยกตัวอย่างเช่น สามเดือนหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน ปี 2001 กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ขณะนั้นมีแผนสอบปากคำคนอเมริกันเชื้อสายอาหรับราวห้าพันคนในสหรัฐฯ เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมของผู้ก่อการร้าย
ในปีถัดมา ผู้ชายจากประเทศมุสลิมบางประเทศถูกกำหนดให้ต้องลงทะเบียนรายงานตัวและพิมพ์ลายนิ้วมือกับรัฐบาลกลาง และกองบัญชาการตำรวจของนครนิวยอร์กก็ได้ส่งสายสืบเข้าไปสอดแนมในกลุ่มและชุมชนของชาวมุสลิมหรือแม้กระทั่งในทีมกีฬา แต่ก็ไม่พบเบาะแสของการก่อการร้ายหรือมีการจับกุมแต่อย่างใด
มาตรการที่มุ่งเป้าไปที่คนอาหรับและมุสลิม
โดยรวมแล้ว ในช่วง 12 เดือนหลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายนปี 2001 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้นำแผนงานหรือนโยบายต่อต้านการก่อการร้ายราว 20 มาตรการมาใช้ และในจำนวนนี้มี 15 รายการซึ่งมุ่งเป้าต่อชาวอเมริกันเชื้อสายอาหรับหรือชาวอเมริกันมุสลิมโดยเฉพาะ
แต่ถึงแม้คนกลุ่มดังกล่าวจะถูกจับตามองเป็นพิเศษหลังการโจมตีของผู้ก่อการร้ายเมื่อ 20 ปีที่แล้วก็ตาม จนถึงขณะนี้ อาจารย์หลุยส์ เคนคาร์ จากมหาวิทยาลัย Marquette ในรัฐวิสคอนซิน ก็ชี้ว่า กลุ่มคนดังกล่าวยังไม่ได้รับการยอมรับตัวตนในแง่ของกลุ่มประชากรอย่างเป็นทางการ
ตัวอย่างเช่น ในการสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ ซึ่งทำทุก 10 ปีครั้งล่าสุดนั้น ไม่มีคำตอบหรือประเภทของกลุ่มประชากรให้ชาวอเมริกันเชื้อสายอาหรับเหล่านี้เลือกตอบในแบบสอบถามแต่อย่างใด
นอกจากนั้น ชนกลุ่มน้อยในอเมริกาที่ว่านี้ก็ตกเป็นเป้าของ Hate Crime หรืออาชญากรรมซึ่งมีที่มาจากความรู้สึกเกลียดชังมากขึ้นด้วย โดยคุณไบรอัน เลวิน ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาด้านความเกลียดชังและแนวคิดสุดโต่งของมหาวิทยาลัย California State University ที่เมืองซานเบอร์นาดีโน ชี้ว่า ช่วงหลังเหตุการณ์ 11 กันยายนปี 2001 เป็นเวลาที่เลวร้ายที่สุดของ Hate Crime ต่อคนกลุ่มนี้ คือเพิ่มขึ้นจากราว 30 ครั้งในปีก่อนหน้า มาเป็น 481 ครั้งเฉพาะในปี 2001
และเมื่อใดก็ตามที่มีรายงานข่าวการโจมตีจากกลุ่มชาวมุสลิมแนวคิดสุดโต่งในต่างประเทศ Hate Crime ที่มีต่อกลุ่มชาวมุสลิมในอเมริกาก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
คุณโมนา เอเมอร์ ซึ่งขณะนี้เป็นอาจารย์ด้านจิตวิทยาชุมชนอยู่ที่มหาวิทยาลัย American University ในกรุงไคโรของอียิปต์ บอกว่า ชาวมุสลิมในอเมริกามีปัญหาความวิตกกังวล ความกลัว และความสลดหดหู่อยู่ในระดับสูง และรู้สึกว่าตัวเองไม่ปลอดภัยอยู่แล้ว แต่ก็พยายามสร้างความเข้มแข็งขึ้นจากประสบการณ์และสร้างชุมชนของตนให้แข็งแกร่งขึ้นจากเหตุการณ์ดังกล่าว
และอาจารย์หลุยส์ เคนคาร์ ของมหาวิทยาลัย Marquette ก็กล่าวว่า ถ้ามองในแง่ดีเรื่องนี้ยังพอมีความหวังอยู่ เพราะขณะนี้คือ 20 ปีหลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายนกำลังมีชุมชนและชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ในอเมริกามากขึ้นที่พร้อมจะเข้าสนับสนุนและช่วยปกป้องชาวอเมริกันมุสลิมและคนอเมริกันเชื้อสายอาหรับมากกว่าที่เคยเป็นมา