หากคุณต้องการจะนั่งชิว ๆ หรือแวะเข้าห้องน้ำในร้านกาแฟสตาร์บัคส์ในอเมริกา คุณจะต้องซื้อของสักอย่างในร้าน ตามแผนยกเลิกนโยบายของแฟรนไชส์กาแฟชื่อดังสัญชาติอเมริกันที่เปลี่ยนไปเมื่อต้นสัปดาห์
สตาร์บัคส์ เผยเมื่อวันจันทร์ว่าบริษัทยกเลิกนโยบาย open-door policy ที่ต้อนรับทุกคนเข้ามาในร้านแม้จะไม่ซื้อสินค้าใด ๆ ก็ตาม โดยนโยบายซึ่งจะมีผลบังคับใช้กับสตาร์บัคส์ทุกสาขาในทวีปอเมริกาเหนือ ยังห้ามการเลือกปฏิบัติหรือการคุกคาม การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ใช้สารเสพติด และการขอเงินภายในร้าน
สำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกเชิญออกจากร้าน ทางร้านสามารถเรียกเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายเข้ามาจัดการเหตุวุ่นวายได้หากจำเป็น และพนักงานจะได้รับการฝึกอบรมในการบังคับใช้นโยบายใหม่นี้
เจซี แอนเดอร์สัน โฆษกสตาร์บัคส์ เผยว่า กฎใหม่ออกแบบมาเพื่อช่วยเน้นความสำคัญของลูกค้าที่ซื้อสินค้าของทางร้าน และร้านค้าปลีกทั่วไปต่างมีกฎระเบียบนี้กันเกือบทั้งสิ้น
กฎใหม่นี้มีขึ้นในช่วงเวลาที่ผู้บริหารสตาร์บัคส์พยายามกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มขึ้น และต้องการสร้างชุมชนคนกาแฟเหมือนในอดีต
ทั้งนี้ นโยบาย open-door policy เริ่มใช้เมื่อปี 2018 หลังจากที่มีชายผิวดำ 2 คนถูกจับที่สตาร์บัคส์ในฟิลาเดลเฟีย ในระหว่างการประชุมทางธุรกิจในร้าน เนื่องจากสาขาดังกล่าวมีนโยบายให้เชิญลูกค้าที่ไม่ซื้อสินค้าใด ๆ ของทางร้านออกไปได้ และชายทั้งคู่ไม่ได้ซื้ออะไรจากทางร้านในช่วงที่เกิดเหตุ แต่การจับกุมที่ถูกบันทึกภาพไว้ กลายเป็นเรื่องที่น่าอับอายสำหรับสตาร์บัคส์แทน
แต่หลังจากบังคับใช้นโยบาย ‘เข้าร้านได้แม้ไม่จ่ายเงิน’ พนักงานและลูกค้าสตาร์บัคส์ต้องเผชิญกับพฤติกรรมที่ก้าวร้าวและอันตรายในร้าน โดยเมื่อปี 2022 สตาร์บัคส์ปิด 16 สาขาทั่วอเมริกา เนื่องจากประเด็นด้านความปลอดภัย รวมทั้งการใช้สารเสพติดและพฤติกรรมที่รบกวนและคุกคามพนักงาน
- ที่มา: เอพี
กระดานความเห็น