กลุ่มติดอาวุธฮามาสปล่อยตัวประกัน 2 แม่ลูกชาวอเมริกัน อ้างเหตุผลด้านมนุษยธรรม โต้แถลงของ ปธน.สหรัฐฯ ส่วนการทำลายล้างยังคงดำเนินต่อไป โบสถ์ที่มีคนหลบภัยหลักร้อยถูกถล่ม
รอยเตอร์รายงานว่า กลุ่มฮามาสได้แจ้งว่ามีการปล่อยตัวประกันเมื่อวันศุกร์ ตามเวลาท้องถิ่น โดย อาบู อูไบดา โฆษกของปีกกองกำลังของฮามาส กล่าวผ่านแถลงการณ์ว่าการปล่อยตัวดังกล่าวเป็นผลมาจากความพยายามไกล่เกลี่ยของกาตาร์ “เพื่อเหตุผลด้านมนุษยธรรม และเพื่อพิสูจน์ให้ชาวอเมริกันและทั่วโลกเห็นว่าคำกล่าวของไบเดน และรัฐบาลฟาสซิสต์ของเขาเป็นความเท็จและไม่มีมูล”
แหล่งข่าวระบุกับรอยเตอร์ว่าตัวประกันทั้งสอง ได้แก่จูดิธ รานาน และนาตาลี รานาน ผู้เป็นบุตรสาว ได้อยู่กับคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศแล้ว ส่วนสำนักข่าว Channel 13 ของอิสราเอล ยืนยันว่ามีการปล่อยตัวประกัน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
ก่อนหน้านี้ กองทัพบกอิสราเอลมีแถลงการณ์ ระบุว่าตัวประกันส่วนใหญ่ยังคงมีชีวิตอยู่ และมาร์ค เรเจฟ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ก็กล่าวกับ CNN ในทำนองเดียวกันว่า “เราพูดในสิ่งที่เราทราบ พวกเขา (ตัวประกัน) ยังมีชีวิตอยู่”
การปิดล้อมฉนวนกาซ่าครั้งล่าสุดมีขึ้นหลังกลุ่มฮามาสบุกโจมตีอิสราเอลเมื่อ 7 ตุลาคม ส่งผลให้มีผู้ถูกสังหารไป 1,400 คน ซึ่งส่วนมากเป็นพลเรือน และมีอีกราว 200 คนที่ถูกจับไว้เป็นตัวประกัน
อิสราเอลประกาศว่าจะกวาดล้างกลุ่มฮามาส ซึ่งเป็นผู้ควบคุมพื้นที่ฉนวนกาซ่า ตามมาด้วยการถล่มพื้นที่ด้วยการโจมตทางอากาศ และปิดล้อมไม่ให้มีการส่งอาหาร เวชภัณฑ์ และเชื้อเพลิงเข้าไปในฉนวนกาซ่า ที่มีประชากรอยู่ราว 2,300,000 คน
ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์ระบุว่า มีชาวปาเลสไตน์ถูกสังหารอย่างน้อย 4,137 คน โดยหลายร้อยรายเป็นเด็ก และมีผู้บาดเจ็บอีก 13,000 คน รายงานจากองค์การสหประชาชาติ (UN) ระบุด้วยว่ามีผู้ไร้ที่อยู่แล้วมากกว่า 1 ล้านคน
เลขาธิการ UN ได้เดินทางไปเยือนด่านราฟาห์ ช่องทางเข้า-ออกระหว่างฉนวนกาซ่าและอียิปต์ และเรียกร้องให้ต้องเกิดการส่งความช่วยเหลือเข้าไปจากจุดนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
อิสราเอลได้มีการระดมทั้งรถถังและกำลังพลมาประจำการใกล้กับพื้นที่กาซ่า ซึ่งคาดว่าจะมีการบุกภาคพื้นดินเข้าไป โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอิสราเอล โยแอฟ กัลแลนต์ ประกาศกับคณะกรรมาธิการของรัฐสภาว่า จะกวาดล้างองค์กรทางทหารและโครงสร้างทางการปกครองของกลุ่มฮามาส ซึ่งจะเป็นเรื่องยากและต้องใช้เวลานาน
เมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น มีแถลงการณ์จากอัครบิดรออร์โธดอกซ์แห่งเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นตัวแทนชาวปาเลสไตน์ที่นับถือศาสนาคริสต์ อ้างว่าการโจมตีข้ามคืนของอิสราเอล ได้สร้างความเสียหายให้กับโบสถ์เซนต์ พอฟีเรียสในกาซ่า ซิตี้ ที่มีชาวคริสเตียนและมุสลิมหลายร้อยคนหลบภัยอยู่
แถลงการณ์ระบุว่า การโจมตีจุดที่คนกำลังหลบภัยจากระเบิดอยู่นั้น เป็น “อาชญากรรมสงครามที่ไม่สามารถเพิกเฉยได้”
สื่อของรัฐบาลฮามาสรายงานว่า มีชาวปาเลสไตน์คริสเตียนถูกสังหารจากการโจมตี 18 ราย ก่อนที่กระทรวงสาธารณสุขจะให้ยอดผู้เสียชีวิตที่ 16 ราย
กองทัพอิสราเอลระบุว่าการโจมตีทางอากาศโดยเครื่องบินเจ็ทเพื่อทำลายศูนย์บัญชาการของกลุ่มฮามาส ได้สร้างความเสียหายบางส่วนให้กับโบสถ์ดังกล่าวที่อยู่ใกล้กัน และยืนยันว่า “โบสถ์ไม่ได้เป็นเป้าหมายของการโจมตี”
อิสราเอลได้สั่งให้ประชาชนในตอนเหนือของฉนวนกาซ่าให้อพยพลงใต้ แต่ก็มีหลายคนที่ตัดสินใจอยู่ในพื้นที่ต่อ เนื่องจากกลัวว่าจะสูญเสียทุกอย่างที่มี และคิดว่าต่อให้เดินทางไปทางใต้ก็ไม่ปลอดภัย เนื่องจากมีการโจมตีในพื้นที่ดังกล่าวเช่นกัน
นอกจากความรุนแรงในกาซ่าแล้ว อิสราเอลยังได้ปะทะกับกลุ่มฮิซบอลลาห์ที่ชายแดนเลบานอน ที่รอยเตอร์รายงานว่าเป็นการปะทะกันที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2006 อิสราเอลได้ประกาศอพยพประชาชนมากกว่า 20,000 คนออกจากเมืองคีริยัต ชโมนา ที่ตั้งอยู่ชายแดนอิสราเอล-เลบานอน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ไม่เพียงเท่านั้น ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ก็มีการปะทะกันของผู้อาศัยในเขตเวสต์ แบงค์ ที่ชาวปาเลสไตน์มีอำนาจปกครองอย่างจำกัดเช่นกัน และการปะทะดังกล่าว มีความรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา
- ที่มา: รอยเตอร์
กระดานความเห็น