งานวิจัยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิจัยของรัฐบาลสหรัฐเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือด พบว่า การรับประทานปลาทอดเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือด เพราะการทอดด้วยน้ำมันทำให้ปลาสูญเสียกรดไขมัน Omega-3 ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ
การศึกษาวิจัยที่ทำจากการสอบถามเกี่ยวกับสุขภาพและการรับประทานอาหารของประชาชนเกือบ 22,000 คน ต่างเชื้อชาติและต่างถิ่นที่อยู่อาศัย บ่งชี้ว่า ภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐมีคนเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองกันมาก ประชาชนในแถบนี้ราว 20-40 % มีความเสี่ยงสูงกว่าคนที่อื่นที่จะเสียชีวิตเนื่องจาก Stroke หรืออาการเนื่องจากเลือดเลี้ยงสมองไม่ได้ซึ่งมักเป็นเพราะเลือดจับตัวเป็นลิ่ม และมีสิ่งบ่งชี้ว่า สิ่งที่อาจเป็นสาเหตุคือ ปลาทอด นักวิจัยกล่าวว่า ปลาที่ทอดในน้ำมันร้อนๆ นั้น มักทำให้คาลอรี่สูงขึ้น มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูงขึ้น
จากการสำรวจพบว่า คนในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐ รับประทานปลาทอดกันมากกว่าคนที่อื่น คือสัปดาห์ละ 2 ครั้งขึ้นไป และคนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันรับประทานปลาทอดมากกว่าคนเชื้อสายคอเคเชียนราว 3 เท่าครึ่ง และคนผิวดำมีความเสี่ยงต่อการเป็น Stroke มากกว่าคนผิวขวา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
สมาคมหัวใจอเมริกัน แนะนำให้คนรรับประทานปลา ซึ่งมีกรดไขมัน Omega-3 สูง สัปดาห์ละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย ไม่ว่าจะเป็นปลาที่ทำให้สุกด้วยการปิ้ง ย่าง เผา หรือต้มแกง แต่ไม่ใช่ปลาทอด Virginia Howard นักวิจัยที่มหาวิทยาลัย Alabama ที่เมือง Birmingham กล่าวว่า การปรุงอาหารประเภทปลาด้วยการทอดในน้ำมันทำให้ประโยชน์ที่ปลามีต่อสุขภาพหัวใจลดลง เพราะการทอดทำให้ปลาสูญเสียกรดไขมัน Omega-3 และแนะนำให้ใช้วิธีปรุงอาหารปลาวิธีอื่นแทนการทอด
นักวิจัยกล่าวด้วยว่า คนในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐ อาจไม่ได้รับประทานปลาที่มีกรดไขมัน Omega-3 สูง อย่างปลาแซลมอน ปลาฉลาม และปลาดาบ เป็นต้น Virginia Howard กล่าวว่า ปลาบางชนิด ปรุงด้วยการทอดดีกว่าปลาอื่นๆ แต่ปลาที่มีสารที่เป็นประโยชน์อย่างกรดไขมัน Omega-3 อาจไม่เหมาะกับการทำให้สุกด้วยการทอด
รายงานเรื่องนี้ลงพิมพ์ในวารสาร Neurology
