กลุ่มธุรกิจต่างชาติชี้ว่า การที่รัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนเดินหน้าแผนงานคุมเข้มอุตสาหกรรมต่างๆ และลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ อาจส่งผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศได้ ตามรายงานของสำนักข่าว เอพี
หอการค้าสหภาพยุโรป (อียู) ประจำประเทศจีน ให้ความเห็นในวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่นด้วยว่า ทางการกรุงปักกิ่งควรจะยกเลิกนโยบายดังกล่าวเสีย และหันมาเปิดตลาดที่รัฐเป็นผู้คุมอยู่นี้ให้กว้างขึ้นจะดีกว่า
คำเตือนจากหอการค้าอียูนี้มีออกมาขณะที่เศรษฐกิจของจีนอยู่ในขาลงอย่างต่อเนื่อง และตลาดแรงงานในประเทศเองกำลังหดตัวทั้งยังมีแต่ผู้ที่แก่ตัวลงเรื่อยๆ โดยที่นโยบายดังกล่าวยิ่งทำให้ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ตึงเครียดขึ้น เนื่องจากรัฐบาลเหล่านั้นมองว่า จีนกำลังละเมิดข้อตกลงทางการค้าของตนอยู่
หอการค้าอียู ยังเตือนด้วยว่า รัฐบาลของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง กำลังเสี่ยงที่จะยังยั้งการเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ด้วยการจำกัดการใช้อินเตอร์เน็ตและคุมเข้มธุรกิจเอกชนต่างๆ พร้อมมุ่งพัฒนาชิปประมวลผลและเทคโนโลยีอื่นๆ ขึ้นมาแทนของที่พัฒนาโดยสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น
ทั้งนี้ หอการค้าอียูประเมินว่า หากจีนทำการปฏิรูปตลาดเต็มรูปด้วยนโยบายเปิดกว้าง ผลผลิตทางเศรษฐกิจต่อหัวของประเทศจะเพิ่มขึ้น 3.5 เท่าในช่วง 25 ปีข้างหน้า แต่หากมุ่งมั่นที่จะดำเนินนโยบายเพิ่มการพึ่งพาตนเอง อัตราผลผลิตดังกล่าวอาจจะขยายตัวเพียง 2 เท่าได้
นอกจากนั้น ทางหอการค้ายังอ้างข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ประเมินว่า ความสามารถในการผลิตของจีนนั้นอยู่ที่ระดับเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเยอรมนี ด้วย
IMF และนักเศรษฐศาสตร์หลายรายคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของจีนจะขยายตัว 8.5 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ เมื่อประเทศฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 เพิ่มขึ้น แต่อัตราการขยายตัวอาจจะหดลงเหลือเพียงไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์หลังปี ค.ศ. 2025 เพราะจะมีประชากรสูงอายุเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหมายถึงการใช้จ่ายภาครัฐด้านสวัสดิการสังคมที่จะพุ่งตามไปด้วย
ขณะเดียวกัน หอการค้าอเมริกันในจีนออกแถลงการณ์ที่มีเนื้อหาคล้ายๆ กัน และเรียกร้องให้กรุงปักกิ่งกลับมาดำเนินนโยบายออกวีซ่าเต็มรูปแบบตามปกติได้แล้วด้วย