เมื่อเร็ว ๆ นี้ หนังสือพิมพ์ Global Times ของรัฐบาลจีนรายงานว่า มีกรณีที่นักศึกษาจีนถูกสอบปากคำและถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าสหรัฐฯ เกิดขึ้นหลายครั้ง
และในระหว่างการแถลงข่าวประจำวันของกระทรวงการต่างประเทศจีนเมื่อวันที่ 4 มกราคม ผู้สื่อข่าวจากสื่อ ไชน่า รีวิว นิวส์ (China Review News) ของฮ่องกงซึ่งมีจุดยืนสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์จีน สอบถาม หวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงฯ เกี่ยวกับรายงานข้างต้น และได้รับคำตอบว่า สหรัฐฯ นั้น “จงใจข่มและปฏิบัติอย่างไม่ดีต่อนักศึกษาจีนมาโดยตลอด”
โฆษกหวัง กล่าวเสริมด้วยว่า รัฐบาลจีนมองว่าการกระทำเช่นนั้นเป็น “การบังคับใช้กฎหมายโดยไม่จงใจแยกแยะ เลือกปฏิบัติและโดยมีเหตุจูงใจทางการเมือง”
“สหรัฐฯ ชอบที่จะแสดงตนว่าเป็นประเทศที่เปิดกว้าง ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสังคม และเสรีภาพทางการศึกษา แต่กลับดำเนินการอย่างผิด ๆ ด้วยการออกประกาศ 10043 ให้มีการบังคับใช้ ทั้งยังนำแนวคิดด้านความมั่นคงของประเทศมาใช้งานเกินจริง และทำให้งานวิจัยเพื่อการศึกษากลายมาเป็นประเด็นการเมืองและอาวุธทำร้ายผู้อื่น รวมทั้งทำการสอบปากคำ ก่อกวนและส่งตัวนักศึกษาจีนกลับประเทศ” หวังกล่าว
นี่เป็นการทำให้สังคมเข้าใจผิด
ในความเป็นจริง นักศึกษาชาวจีนเป็นนักศึกษาต่างชาติกลุ่มใหญ่ที่สุดที่สมัครเข้าเรียนที่สถาบันการศึกษาของสหรัฐฯ เป็นปีที่ 13 ติดต่อกันแล้ว
มีนักศึกษาระดับปริญญาโทกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้นที่ถูกตรวจสอบเป็นพิเศษ เนื่องจากหัวข้อการศึกษาของนักศึกษาเหล่านั้นที่มีความอ่อนไหว และความน่าจะเป็นที่มีความเกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ผสมผสานทหารพลเรือน (Military-Civil Fusion Strategy) ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ยุทธศาสตร์นี้มีจุดมุ่งหมายที่จะพัฒนา “กองทัพที่มีความก้าวล้ำนำสมัยทางเทคโนโลยีมากที่สุดในโลก” ด้วยการกำจัดอุปสรรคระหว่างนักวิจัยที่เป็นพลเรือนและหน่วยงานด้านทหารและกลาโหม
ว่าด้วยประกาศ 10043 ของสหรัฐฯ (Proclamation 10043)
เมื่อวันที่ 4 มกราคม หนังสือพิมพ์ Global Times รายงานเหตุการณ์ 2 กรณีที่นักศึกษาจีนถูกเจ้าหน้าที่ของสำนักงานศุลกากรและการป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ กักตัวไว้ที่สนามบินก่อนจะส่งตัวกลับจีนเมื่อช่วงปลายปี 2023
ในกรณีแรก เป็นเรื่องของนักวิจัยชาวจีนที่ทำงานอยู่ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ของสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ โดย Global Times รายงานว่า นักศึกษาคนดังกล่าวถูกสอบปากคำหลังเดินทางมาถึงสนามบินนานาชาติดัลเลส ในรัฐเวอร์จิเนีย ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2023 และบอกว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยกเลิกวีซ่านักศึกษา F-1 ของตนไป ขณะที่ เกิดเหตุการณ์คล้าย ๆ กันกับนักศึกษาระดับปริญญาเอกที่เป็นชาวจีนและกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเยล ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
ทั้งนี้ วีซ่าของนักศึกษาจีนทั้งสองคนน่าจะเป็นผลมาจากอำนาจของประกาศ 10043 ซึ่งเป็นคำประกาศของประธานาธิบดีที่ลงนามโดยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และออกมาใช้งานในเดือนพฤษภาคม ปี 2020 โดยเนื้อหาของประกาศนี้คือ การสั่งห้ามนักศึกษาและนักวิจัยที่มีความเกี่ยวโยงกับยุทธศาสตร์ผสมผสานทหารพลเรือน ไม่ให้ยื่นเรื่องของวีซ่ามาศึกษาที่มหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ
คำประกาศ 10043 (Proclamation 10043) มีเนื้อหาว่า กรุงปักกิ่งใช้งานนักศึกษาบางรายที่ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาในระดับปริญญาโทและนักวิจัยสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอกแล้ว “เพื่อทำปฏิบัติการเป็นผู้ทำหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลด้านทรัพย์สินทางปัญญาอย่างไม่เป็นทางการ”
คำประกาศนี้ยังระบุด้วยว่า “ดังนั้น นักศึกษาหรือนักวิจัยจากสาธารณรัฐประชาชนจีนที่กำลังศึกษาหรือค้นคว้าวิจัยในระดับที่สูงกว่าปริญญาโท และมีหรือเคยมีความสัมพันธ์กับกองทัพปลดปล่อยประชาชน (People’s Liberation Army – PLA) เป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูงว่าจะถูกใช้งานหาประโยชน์หรือถูกเกณฑ์โดยทางการจีน อันถือเป็นสาเหตุเฉพาะเจาะจงที่นำมาซึ่งความกังวล”
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า จีนนั้นทำการจัดหาเทคโนโลยีต่าง ๆ ด้วย “วิธีที่ทั้งถูกและผิดกฎหมาย” ซึ่งรวมถึง “การลงทุนในอุตสาหกรรมเอกชน โครงการจัดจ้างผู้มีความสามารถ การบริหารงานด้านความร่วมมือทางการศึกษาและงานวิจัยเพื่อผลประโยชน์ทางทหาร การบังคับให้มีการถ่ายโอนเทคโนโลยี การรวบรวมข้อมูลข่าวกรอง และการขโมยซึ่ง ๆ หน้า”
ตัวอย่างหนึ่งของยุทธศาสตร์ผสมผสานทหารพลเรือนเป็นกรณีของ จี้ เฉาคุน ซึ่งเดินทางมาสหรัฐฯ ด้วยวีซ่านักเรียนเพื่อศึกษาต่อด้านวิศวกรรมไฟฟ้า แต่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กล่าวว่า จี้ เป็นสายลับของกระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐของจีนและทำการรวบรวมข้อมูลส่วนตัวของนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรอเมริกันเชื้อสายจีนเพื่อให้หน่วยงานสายลับจีนเกณฑ์มาทำงานให้ และกระทรวงยุติธรรมระบุว่า จี้ มีหน้าที่หาทางเข้าถึงเทคโนโลยีดาวเทียมและอวกาศที่ก้าวล้ำนำสมัยของสหรัฐฯ ด้วย โดยผู้ต้องหารายนี้ถูกศาลพิพากษาสั่งจำคุกเป็นเวลา 8 ปีในเดือนมกราคม ปี 2023
อีกตัวอย่างของการดำเนินยุทธศาสตร์ที่ว่า เป็นเรื่องของ เย่ หยานฉิง ซึ่งมาสหรัฐฯ ด้วยวีซ่าแลกเปลี่ยน J-1 ที่ออกให้โดยกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ให้มาศึกษาต่อที่คณะวิศวกรรมฟิสิกส์ เคมีและชีวการแพทย์ ณ มหาวิทยาลัยบอสตัน โดยเธอถูกสั่งฟ้องในเดือนมกราคม ปี 2020 ในข้อหาปลอมแปลงวีซ่า ให้การเท็จ เป็นสายลับให้กับรัฐบาลต่างชาติและสมรู้ร่วมคิด
ในเวลานี้ เย่ ยังคงใช้ชีวิตตามปกติอยู่ที่ประเทศจีน
นอกจากสองคนนี้แล้ว ยังมีกรณีของ เจิ้ง จ้าวซง นักเรียนทุนที่เดินทางมาศึกษาที่ศูนย์ Beth Israel Deaconess Medical Center ที่นครบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ด้วยวีซ่า J-1 เป็นอีกรายที่ถูกสั่งฟ้องเมื่อเดือนมกราคม ปี 2020 หลังถูกจับได้ว่าพยายามลักลอบนำขวดยาขนาดเล็กจำนวน 21 ขวดจากงานวิจัยด้านชีวภาพออกนอกสหรัฐฯ ขึ้นเครื่องบินที่มีจุดหมายเป็นประเทศจีน และในเดือนมกราคม ปี 2021 เจิ้ง ถูกพิพากษาจำคุกราว 87 วัน ก่อนจะถูกปล่อยตัวแต่ต้องใช้ชีวิตภายใต้การควบคุมดูแลของทางการเป็นเวลา 3 ปีและถูกขับออกนอกสหรัฐฯ ในเวลาต่อมา
เมื่อวันที่ 28 มกราคม ปี 2020 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่มีการประกาศสั่งฟ้อง เย่ หยานฉิง และเจิ้ง จ้าวซง ทางการสหรัฐฯ ได้จับกุมตัว ชาลส์ ลีเบอร์ ประธานแผนกเคมีและชีววิทยาเคมีของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และต่อมาในเดือนเมษายน ปี 2023 ศาลรัฐบาลกลางในบอสตันพิพากษาลงโทษสั่งจำคุกลีเบอร์ ในข้อหาโกหกเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องกับโครงการ Thousand Talents ของรัฐบาลจีนและความเกี่ยวเนื่องกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีอู่ฮั่น (Wuhan University of Technology) และเพราะไม่ได้เปิดเผยรายได้ที่รับจากมหาวิทยาลัยจีน
พุ่งเป้าจับผิดนักศึกษาจีนอย่างไม่เป็นธรรม?
ด้วยอำนาจของคำประกาศ 11043 กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ สั่งยกเลิกวีซ่าที่ออกให้กับชาวจีนไปแล้วกว่า 1,000 ราย ตั้งแต่คำประกาศนี้มีผลบังคับใช้จนถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2020
การตรวจสอบพบว่า ยังมีการปฏิเสธคำขอวีซ่าของ 1,964 คนภายใต้อำนาจของคำประกาศประธานาธิบดีนี้ ในช่วงปีงบประมาณ 2021 โดยราว 2% นั้นเป็นวีซ่าที่ออกให้กับนักศึกษาจีน
แต่ในปีเดียวกันนี้เอง สหรัฐฯ ออกวีซ่านักเรียน F-1 ให้กับนักศึกษาจีน 90,301 คนและวีซ่าแลกเปลี่ยน J-1 ให้กับผู้ยื่นเรื่องขอจากจีนจำนวน 3,048 คน ขณะที่ สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 กำลังค่อย ๆ คลี่คลายลง
และในปีงบประมาณ 2022 สหรัฐฯ ออกวีซ่าให้กับนักเรียน/นักศึกษาและนักเรียนทุนแลกเปลี่ยนจีนกว่า 155,000 คน โดยตัวเลขนี้ได้พุ่งขึ้นเป็น 289,526 ในปีงบประมาณ 2023 ขณะที่ นักเรียน/นักศึกษาจากจีนยังคงเป็นนักศึกษาต่างชาติที่มีจำนวนมากที่สุดในสหรัฐฯ เป็นปีที่ 13 ติดต่อกันด้วย
ขณะที่ คำประกาศ 11043 ไม่ได้ทำให้จำนวนนักศึกษาจีนที่มาเรียนต่อที่สหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ มีผู้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า นโยบายนี้ส่งผลกระทบด้านลบในกลุ่มนักศึกษาในจีนที่เริ่มรู้สึกไม่อยากสมัครเรียนในสหรัฐฯ มากขึ้น
บริษัทที่ปรึกษาและวิจัย Think Global กล่าวในรายงานปี 2022 ว่า “อันเนื่องมาจากสภาพบรรยากาศอันอึดอัดนี้ ผู้สนใจศึกษาต่อเริ่มหันไปมองหาทางเลือกอื่น ๆ ที่มหาวิทยาลัยอันมีชื่อในยุโรป หรือ ที่ใหม่ ๆ ในกาตาร์หรือจีน แทนแล้ว”
ส่วนหน่วยงานคลังสมอง National Foundation for American Policy ที่ตั้งอยู่ในรัฐเวอร์จิเนีย ให้ความเห็นเกี่ยวกับคำประกาศ 10043 เมื่อปี 2021 ไว้ว่า คำประกาศนี้จะส่งผลให้ต้นทุนของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นในระยะยาว พร้อมชี้ว่า การที่นักศึกษาปริญญาเอกทุก ๆ 1,000 คนถูกปิดกั้นไม่ให้มาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ นั้นสามารถแปลงเป็นต้นทุนของเศรษฐกิจอเมริกันถึงราว 210,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการคำนวนจากมูลค่าของสิทธิบัตรต่าง ๆ ที่มหาวิทยาลัยทั้งหลายจะจดทะเบียนในช่วงทศวรรษข้างหน้า ทั้งยังรวมถึงการสูญเสียโอกาสการเก็บค่าเล่าเรียนเกือบ 1,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันด้วย
- ที่มา: ฝ่าย Polygraph วีโอเอ