เมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจ ไบเดน พบกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ฟูมิโอะ คิชิดะ ซึ่งเยือนกรุงวอชิงตัน ตามแผนงานการเดินทางเข้าพบผู้นำประเทศพันธมิตรชาติตะวันตก 5 ประเทศ เพื่อหารือประเด็นด้านกลาโหมและความมั่นคงระหว่างกัน
ในแถลงการณ์ร่วมหลังการประชุม สองผู้นำระบุถึงความท้าทายที่ “อยู่เหนือภูมิศาสตร์” ซึ่งรวมถึง “สงครามอันโหดร้ายและผิดทำนองคลองธรรมในการรุกรานยูเครน” ด้วย
แถลงการณ์ของปธน.ไบเดน-นายกฯ คิชิดะ แสดงให้เห็นถึง “การสนับสนุนอย่างไม่ย่นย่อต่อยูเครน” ของทั้งสอง และยังเตือน “ว่าการใช้อาวุธนิวเคลียร์ใด ๆ โดยรัสเซียในยูเครน จะเป็นการกระทำที่เป็นปรปักษ์ต่อมนุษยชาติและเป็นสิ่งที่หาความชอบธรรมไม่ได้เลยแม้แต่น้อย”
แถลงการณ์นี้นำมาซึ่งการตอบโต้อย่างรุนแรงจาก ดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย ทันที
เมดเวเดพ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานสภาความมั่นคงของรัสเซีย ระบุในโพสต์ผ่านบัญชีเทเลแกรมส่วนตัวว่า “นี่เป็นความน่าละอายครั้งใหญ่ ที่ผมไม่แม้แต่อยากจะให้ความเห็นกรณีอาการวิตกจริตเกี่ยวกับแผนการณ์ด้านนิวเคลียร์ของเรา” และว่า “ลองคิดดู หัวหน้ารัฐบาลญี่ปุ่น แสดงความปิติยินดีในความจงรักภักดีอันน่าอดสู ด้วยการพูดจาไร้สาระเกี่ยวกับรัสเซีย (และ)ทรยศต่อความทรงจำของชาวญี่ปุ่นนับแสน ๆ คนที่ถูกแผดเผาในเพลิงนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ และคิชิดะก็ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่า ประเทศเดียวที่ใช้อาวุธนิวเคลียร์เต็มรูปแบบนั้นก็คือสหรัฐอเมริกา”
อดีตปธน.รัสเซียรายนี้ยังเรียก นายกฯ คิชิดะ ว่าเป็นคนรับใช้ของสหรัฐฯ และชี้ว่า ความอัปยศของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นจะ”ถูกชะล้างไปได้” ด้วย “เซปปุกุ” ซึ่งก็คือ พิธีกรรมฆ่าตัวตายรูปแบบหนึ่ง เท่านั้น
ในความเป็นจริง สิ่งที่เมดเวเดฟพูดออกมานั้นทำให้สังคมเข้าใจผิด เพราะตัวของเขาเองและเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ของเครมลินต่างหากที่เป็นผู้เริ่มหยิบยกเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาพูด นับตั้งแต่รัสเซียเริ่มรุกรานยูเครน ขณะที่ การที่สหรัฐฯ ใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อจัดการกับจักรวรรดิญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น แม้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ก็ถือเป็นประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับภัยคุกคามจากการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซียต่อยูเครนเลย
เมื่อมองย้อนกลับไปดูช่วงไม่นานหลังกองทัพมอสโกรุกคืบเข้าไปในยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ของปีที่แล้ว ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน สั่งกองกำลังป้องปรามนิวเคลียร์ของรัสเซียให้ “เตรียมระวังภัยขั้นสูง” แล้ว โดยระบุว่า “คำกล่าวดันดุดันก้าวร้าวต่อประเทศเรา” โดยเจ้าหน้าที่อาวุโสจาก “ประเทศนาโต้ชั้นนำ” ทำให้ต้องมีการเตรียมการ แม้ว่าในความจริง รัสเซียต่างหากที่เป็นผู้เริ่มทำสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านของตน
ต่อมาในเดือนมีนาคม ดมิทรี เพสคอฟ โฆษกเครมลิน ระบุระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ CNN International ว่า รัสเซียอาจใช้อาวุธนิวเคลียร์ ถ้าต้องเผชิญกับ “ภัยคุกคามต่อความอยู่รอดของตน”
และในเดือนพฤษภาคมของปีที่แล้ว ปธน.ปูติน กล่าวว่า ใครก็ตามที่เข้ามาขวางทางรัสเซียในยูเครนจะพบกับ “ผลลัพธ์ที่คุณไม่เคยได้ประสบมาก่อนในประวัติศาสตร์ของคุณ” ซึ่งเป็นคำกล่าวที่หลายคนสรุปความว่า หมายถึง การใช้อาวุธนิวเคลียร์
ในเดือนเดียวกัน อดีตปธน.เมดเวเดฟ เตือนว่า ความช่วยเหลือของชาติตะวันตกต่อยูเครนนั้นได้เพิ่ม “ความน่าจะเป็นของความขัดแย้งโดยตรงอันโจ่งแจ้งระหว่างนาโต้และรัสเซีย” และว่า “ความขัดแย้งเช่นนั้นมักมาพร้อมความเสี่ยงที่จะกลับกลายมาเป็นสงครามนิวเคลียร์เต็มรูปแบบได้”
และเมื่อวันที่ 21 กันยายน ของปีที่แล้วดูเหมือนว่า ปธน.ปูติน จะตั้งใจแสดงให้เห็นถึงความเต็มใจที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ จากการออกมากล่าวว่า “ถ้าบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศเราถูกคุกคาม ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เราจะใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อปกป้องรัสเซียและประชาชนของเรา – นี่ไม่ใช่การบลัฟ ... และพวกที่พยายามจะแบล็กเมล์เราด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ควรรู้ว่า กังหันชี้ทิศทางลมสามารถหันกลับไปชี้ใส่พวกเขาได้”
ที่ผ่านมา ไม่มีประเทศได้ออกมาขู่โจมตีรัสเซียด้วยอาวุธนิวเคลียร์เลย ถึงกระนั้น เมดเวเดฟกล่าวไว้ว่า ความเห็นของปูติน “ไม่ใช่การบลัฟอย่างแน่นอน”
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมดเวเดฟระบุในโพสต์ทางบัญชีสื่อสังคมออนไลน์เทเลแกรมในเดือนกันยายนว่า “ลองจินตนาการดูว่า รัสเซียถูกบีบให้ใช้อาวุธที่มีความน่ากลัวที่สุดกับยูเครน ซึ่งทำการรุกรานขนานใหญ่อันเป็นอันตรายต่อการดำรงอยู่ของประเทศเรา”
เมดเวเดฟออกมาให้ความเห็นนี้ ในขณะที่รัสเซียกำลังพยายามผนวกอาณาเขตของยูเครนเข้ากับตนเพิ่มเติมโดยผิดกฎหมาย ซึ่งทำให้หลายคนรู้สึกว่า มอสโกอาจสร้างภาพการโจมตีเพื่อยึดคืนดินแดนของยูเครน ว่าเป็นเหมือนการโจมตีรัสเซียเอง
ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน หลังจากกองกำลังยูเครนทำการโต้คืนและบีบให้รัสเซียต้องถอนทัพออกจากเมืองเคอร์ซอน (ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเขตปกครองเคอร์ซอนที่รัสเซียประกาศผนวกเข้ากับตนไป) เมดเวเดฟออกมาโพสต์ข้อความทางเทเลแกรมเพื่อเตือนว่า “รัสเซีย มีเหตุผลอันชัดเจน ที่ยังไม่ใช้อาวุธ อุปกรณ์ และกระสุนที่มีอยู่ในคลังทั้งหมด”
ในเดือนต่อมา เมดเวเดฟก็ออกมาพูดขู่เรื่องการใช้อาวุธนิวเคลียร์อีก
รอยเตอร์รายงานข้อความที่เมดเวเดฟเขียนให้กับหนังสือพิมพ์ Rossiskaya Gazetea ของรัฐบาลรัสเซีย ซึ่งระบุว่า “พวกตะวันตกพร้อมที่จะเปิดฉากสงครามเต็มรูปแบบกับเราแล้วหรือยัง หมายถึง สงครามนิวเคลียร์ ด้วยน้ำมือของยูเครน” และว่า “สิ่งเดียวที่จะหยุดยั้งศัตรของเราในวันนี้คือ ความเข้าใจที่ว่า รัสเซียนั้นถูกนำทางด้วยพื้นฐานของนโยบายรัฐ ... ด้านการป้องปรามนิวเคลียร์ ... และในกรณีที่เกิดภัยคุกคามอันแท้จริงขึ้น (รัสเซีย) ก็จะจัดการกับทั้งหมดตามนั้น”
นอกจากนั้น เมดเวเดฟยังเปรียบเทียบเจ้าหน้าที่ยูเครนเป็นเหมือนแมลงสาบและเรียกร้องให้มีการ “กำจัดล้างบาง” ความเป็นรัฐของยูเครนได้แล้ว
ในเดือนตุลาคมของปีที่แล้ว รามซาน คาดีรอฟ หัวหน้าผู้ดูแลแคว้นเชชเนียของรัสเซีย ซึ่งได้รับการเลื่อนขั้นให้มาช่วยดูแลกองทัพของตนในสงครามในยูเครน แนะให้ “ใช้อาวุธนิวเคลียร์ที่มีแรงระเบิดต่ำ” ดู หลังฝ่ายมอสโกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในสนามรบ
แต่ความเห็นดังกล่าวถูกเครมลินออกมายิงตกอย่างนุ่มนวลทันที
ต่อมาในวันที่ 17 มกราคมของปีนี้ คาดีรอฟกล่าวว่า รัสเซียจะไม่ยอมปล่อยให้ตนเองต้องพ่ายแพ้ในการสู้รบ และกล่าวเสริมว่า “เราสามารถกดปุ่มและ “ซาลาม มาเลย์กุม” [ซึ่งแปลได้ว่า ‘ขอให้สันติภาพบังเกิดแก่คุณ’]
ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำจากสื่อรัฐบาลรัสเซียก็ออกมาขู่เรื่องการใช้อาวุธนิวเคลียร์อยู่เป็นประจำ
สื่อ The New York Timesรายงานว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ หลายรายกล่าวว่า ผู้นำอาวุโสของกองทัพรัสเซียหารือเรื่องการใช้อาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธีในยูเครนกันบ้าง แต่ก็ไม่มีหลักฐานว่า รัสเซียนั้นกำลังเตรียมการโจมตีเช่นนั้นอยู่จริง
นักวิเคราะห์บอกกับสถานีโทรทัศน์ Deutsche Welle ของเยอรมนี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ของปีที่แล้วว่า การยกระดับการขู่การใช้อาวุธนิวเคลียร์เป็นการเตือนให้โลกระลึกได้ถึงคลังนิวเคลียร์ของรัสเซีย ซึ่งน่าจะทำให้กรุงมอสโกสามารถทำการเรียกร้องต่าง ๆ ได้โดยปูติน “ไม่ต้องเจ็บตัวเลย”
เป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจที่ เมดเวดเดฟอ้างประเด็นสงครามระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นมาวิจารณ์ผู้นำกรุงโตเกียว เมื่อดูจากกระบวนการสร้างข้อมูลบิดเบือนของรัสเซียที่มักหยิบยกเรื่องที่อดีตสหภาพโซเวียตสู้รบกับนาซีเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่ 2 มาเป็นข้ออ้างในการทำสงครามในยูเครน โดยรัสเซียยังอ้างอย่างผิด ๆ ว่า ตนรุกรานยูเครนเพื่อ “กำจัดนาซี” และทำให้ประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ “ปลอดทหาร”
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุในรายงานที่ออกมาเมื่อเดือนกรกฎาคมของปีที่แล้วว่า “เครมลินหวังว่า การหยิบยกลัทธินาซีและความสยดสยองที่เกี่ยวเนื่องกับสงครามโลกครั้งที่ 2 และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ขึ้นมาพูด จะทำลายความชอบธรรมและสร้างภาพของยูเครนให้ดูชั่วร้ายในสายตาประชาชนชาวรัสเซียและชาวโลก”
ก่อนหน้านั้นในเดือนพฤษภาคม ทูตรัสเซียประจำญี่ปุ่นได้ออกมาชี้ว่า รัฐบาลกรุงโตเกียวนั้นไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ มากเท่าใดต่อการทิ้งระเบิดปรมาณูลงเมืองฮิโรชิมาและเมืองนางาซากิ ในปี ค.ศ. 1945 และยังออกมาทำการเปรียบเทียบอย่างผิด ๆ ในเรื่องที่ชาติตะวันตกและญี่ปุ่นคัดค้านการทำสงครามของรัสเซียในยูเครนกับการที่จักรวรรดิญี่ปุ่นเข้าข้างนาซีเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย
การอภิปรายถกเถียงว่า การใช้ระเบิดปรมาณูจัดการกับญี่ปุ่นเพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นสมเหตุสมผลหรือไม่ และว่า สหรัฐฯ ควรออกมาขอโทษต่อสิ่งที่ตนกระทำหรือไม่ ยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง
แต่ไม่ว่ารัฐบาลมอสโกจะปั่นประเด็นมากเท่าใด เรื่องของสหรัฐฯ และญี่ปุ่นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการที่รัฐบาลญี่ปุ่นที่ปกครองประเทศด้วยระบอบประชาธิปไตยสนับสนุนยูเครนในวันนี้ และไม่ได้เกี่ยวกับความกังวลที่ว่า รัสเซียอาจใช้อาวุธนิวเคลียร์หรือไหม่ ถ้าตนรู้สึกว่า กำลังจะพ่ายแพ้ให้กับยูเครน
ที่มา: ฝ่าย Polygraph วีโอเอ