เมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา รัสเซียระดมยิงขีปนาวุธหลายสิบลูกเข้าใส่เมืองต่าง ๆ ของยูเครน เพื่อตอบโต้ต่อการวางระเบิดสะพานเคิร์ชบริดจ์ ซึ่งเชื่อมแผ่นดินใหญ่ของรัสเซียเข้ากับคาบสมุทรไครเมียที่มอสโกประกาศผนวกเข้ากับตนตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014
นับตั้งแต่ทำการรุกรานยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ รัสเซียตั้งเป้าอย่างเป็นระบบที่จะทำลายโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน และในการโจมตีครั้งล่าสุดนี้ มอสโกอ้างว่า เพื่อ “ตอบโต้ต่อการก่อการร้ายของกรุงเคียฟ”
ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ยังอ้างด้วยว่า การโจมตีทั้งหมดมุ่งหวังให้ไปทำลายเป้าหมายโครงสร้างพื้นฐานและเป้าหมายทางทหารอันชอบธรรม
ในการนี้ ปูติน กล่าวว่า “เช้านี้ ภายใต้แนวคิดริเริ่มของกระทรวงกลาโหมและตามแผนงาน [ที่จัดทำโดย] เสนาธิการทหารรัสเซีย มีการยิงถล่มด้วยอาวุธพิสัยไกลที่ยิงทั้งจากทางบก ทางทะเล และทางอากาศ ที่มีความแม่นยำสูง ไปยังพื้นที่หน่วยสื่อสาร บัญชาการทหารและพลังงานของยูเครน”
แต่สิ่งที่ผู้นำมอสโกกล่าวอ้างนั้น เป็นความเท็จ
รัสเซียนั้นตั้งเป้าโจมตีไปยังพื้นที่ด้านพลังงานและด้านทหารจริง แต่หลักฐานที่ปรากฏมากมายแสดงให้เห็นว่า การโจมตีนั้นกลับไปเกิดกับโครงสร้างพื้นฐานพลเรือนและสถานที่ทางวัฒนธรรมต่าง ๆ แทน
ที่กรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน มีทั้งพยานหลายคน รวมทั้งรูปถ่ายและคลิปวิดีโอมากมายที่พิสูจน์ให้เห็นว่า พิพิธภัณฑ์หลายแห่ง อาคารสำนักงานหนึ่งแห่ง สะพานลอยหนึ่งจุด สวนหนึ่งแห่ง สี่แยกที่คร่าคร่ำไปด้วยผู้คนอีกหนึ่งจุด และพื้นที่ของพลเรือนอื่น ๆ ถูกถล่มอย่างหนัก
ข้อมูลจากกองทัพอากาศยูเครนระบุว่า การโจมตีเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม คือ “การโจมตีด้วยขีปนาวุธครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งภาวะสงครามเริ่มเข้าสู่ช่วงที่รุนแรงขึ้น”
ยูเครนเปิดเผยว่า มีการยิงจรวดเข้ามากว่า 80 ลูก ซึ่งรวมถึง “ขีปนาวุธแบบร่อนที่ยิงจากทางบก ทางน้ำ และทางอากาศที่มีความแม่นยำสูง” และมีการใช้โดรนคามิคาเซ ชาเฮด-136 ที่ผลิตในอิหร่าน นับสิบตัวในการโจมตีด้วย”
ขณะเดียวกัน กรุงเคียฟซึ่งอยู่ห่างจากแนวหน้าการรบอย่างมาก ก็ถูกถล่มอย่างหนักด้วยเช่นกัน
วิตาลี คลิตช์โก นายกเทศมนตรีกรุงเคียฟ เปิดเผยว่า มีอาคารที่พักอาศัย 45 แห่ง ซึ่งรวมถึง อาคารของโรงเรียน 3 แห่ง โรงเรียนอนุบาล 1 แห่ง และศูนย์ศึกษาหลังเลิกเรียน 2 แห่ง รวมทั้ง อาคารสถาบันด้านวัฒนธรรม 6 แห่ง อาคารศูนย์บริการด้านสุขภาพ 5 แห่ง และ”พื้นที่ที่เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์บริการชุมชน การเคหะ และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ๆ” อีก 5 แห่งที่ได้รับความเสียหาย
เจ้าหน้าที่ยูเครนกล่าวว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 19 รายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 100 คน โดยพื้นที่ที่ตกเป็นเป้าการโจมตีของรัสเซียด้วยขีปนาวุธนี้ มีตั้งแต่กรุงเคียฟ ไปจนถึงเมืองลวิฟทางภาคตะวันตก เมืองคาร์คิฟทางภาคเหนือ เมืองดนิโปรและซาปอริห์เชียในภาคกลาง และเมืองท่าโอเดซาที่ติดกับทะเลดำ
สื่อ The Kyiv Independent ทวีตภาพสถานที่ที่ถูกโจมตีออกมา โดยมีทั้ง สวนเชฟเชนโก ใจกลางกรุงเคียฟที่มีหลักฐานเป็นหลุมที่เกิดจากแรงระเบิดของขีปนาวุธ ติดกับสนามเด็กเล่นข้าง ๆ และพิพิธภัณฑ์คาเนนโก ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะระดับโลกของยูเครน รวมทั้งมหาวิทยาลัยแห่งชาติทาราส เชฟเชนโก ในเมืองหลวงของยูเครน ขณะที่ มีผู้ทวีตภาพความเสียหายที่สี่แยกหลักแห่งหนึ่งในกรุงเคียฟที่ถูกยิงถล่ม จนมีรถหลายคันระเบิดและมีไฟลุกท่วม โดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บ-เสียชีวิตนับสิบ รวมทั้งความเสียหายที่สะพานลอยและจุดอื่น ๆ ซึ่งรวมถึง ศูนย์วิจัยของบริษัทซัมซุง ด้วย
แมทธิว ลักซ์มัวร์ ผู้สื่อข่าวจาก The Wall Street Journal รายงานว่า การโจมตีของรัสเซียในเมืองลวิฟ “ทำให้พื้นที่เกือบครึ่งเมืองไม่มีน้ำ ไฟฟ้า หรืออินเทอร์เน็ตใช้”
ทั้งนี้ รัฐบาลกรุงเคียฟยังไม่ได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อการโจมตีที่สะพานเชื่อมไครเมีย ตามรายงานของสำนักข่าวเอพี แต่เอกอัครราชทูตยูเครนประจำอังกฤษ วาดิม พริสไทโก ออกมากล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า สะพานแห่งนั้นคือเป้าหมายทางทหารอันชอบธรรม
ขณะเดียวกัน ดมิโทร คูเลบา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ปฏิเสธคำกล่าวอ้างจากรัสเซียว่า ปธน.ปูตินนั้นถูกยั่วยุให้ต้องสั่งยิงขีปนาวุธโจมตีเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยระบุว่า “รัสเซียทำการโจมตียูเครนด้วยขีปนาวุธอย่างต่อเนื่องก่อนเกิดเหตุที่สะพานเสียอีก ปูตินก็เข้าตาจนเพราะความปราชัยในสนามรบ และใช้ความโหดร้ายของขีปนาวุธเพื่อพยายามเปลี่ยนทิศทางลมของสงครามให้เข้าทางตนเอง”
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี กล่าวว่า การที่รัสเซียพุ่งเป้าการโจมตีไปยังพื้นที่ของพลเรือนนั้นเป็น “ความโหดร้ายด้วยขีปนาวุธ”
ในตอนนั้น ปธน.เซเลนสกี กล่าวว่า รัสเซียยิงขีปนาวุธ 2,960 ลูกเข้าใส่เมืองต่าง ๆ ของยูเครน พร้อมเสริมว่า “เป้าหมายหลักของขีปนาวุธนั้นคือ เป้าที่เป็นของพลเรือน”
รัสเซียนั้นถูกกล่าวหาอย่างมากว่า ทำการทิ้งระเบิดโดยไม่เลือกหน้า หรือไม่ก็โจมตีเป้าหมายพลเรือนอย่างจงใจ โดยเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก่อนหน้านี้คือ การโจมตีทางอากาศเมื่อวันที่ 16 มีนาคมเข้าใส่โรงละคร Donetsk Academic Regional Drama Theater ในเมืองมาริอูโพล ซึ่งเป็นที่ ๆ พลเรือนใช้เป็นที่หลบภัยจากการรุกรานของรัสเซีย โดยเชื่อกันว่า มีผู้เสียชีวิตมากถึงราว 600 คนในครั้งนั้น
อย่างที่ฝ่าย Polygraph ของ วีโอเอ เคยนำเสนอไปก่อนหน้าเกี่ยวกับสงครามในเชชเนียและสงครามกลางเมืองในซีเรีย การทิ้งระเบิดโดยไม่เลือกหน้าเข้าใส่เป้าหมายพลเรือนคือ สัญลักษณ์ประจำตัวของรัสเซียไปเสียแล้ว
และขณะที่การโจมตีด้วยขีปนาวุธครั้งล่าสุดยังดำเนินอยู่ สมัชชาใหญ่สหประชาชาติเรียกประชุมเพื่อหารือวิธีตอบโต้ต่อการที่รัสเซียประกาศผนวกพื้นที่ใน 4 เขตปกครองของยูเครนเข้ากับตนเมื่อเดือนที่แล้วด้วย
อันโตนิโอ กูเทอเรซ เลขาธิการใหญ่องค์การสหประชาชาติ กล่าวว่า ตน “รู้สึกช็อกอย่างมาก” เพราะการโจมตีด้วยขีปนาวุธขนานใหญ่ใส่เมืองต่าง ๆ และพื้นที่พลเรือนทั่วยูเครน และระบุว่า “นี่ถือว่าเป็นการยกระดับของสงครามที่ไม่อาจยอมรับได้อีกครั้ง และเหมือนครั้งก่อน ๆ พลเรือนคือผู้ที่ต้องรับกรรมหนักที่สุด”
สำนักข่าว เอพี รายงานว่า รัสเซียยังคงโจมตียูเครนด้วยขีปนาวุธต่อในวันอังคารที่ 11 ตุลาคม
หน่วยงานบริการฉุกเฉินของยูเครน รายงานว่า “การทิ้งระเบิดในวันอังคารถล่มทั้งพื้นที่ของพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงาน เหมือนกับที่เกิดขึ้นในวันจันทร์ (และ) มีผู้เสียชีวิต 1 คน เมื่อขีปนาวุธ 12 ลูกถล่มเข้าใส่พื้นที่สาธารณะในเมืองซาปอริห์เชียทางใต้ จนทำให้เกิดไฟไหม้เป็นวงกว้าง” และว่า “เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรายหนึ่ง เปิดเผยว่า มีโรงเรียนแห่งหนึ่ง และอาคารที่พักอาศัยจำนวนหนึ่ง รวมทั้งพื้นที่โรงพยาบาลส่วนหนึ่งถูกถล่มด้วยขีปนาวุธด้วย”
- ที่มา: ฝ่าย Polygraph วีโอเอ