รัสเซียและอิหร่านต่างเร่งใช้งานสื่อรัฐเพื่อดำเนินแผนงานโฆษณาชวนเชื่อในการบิดเบือนข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการที่กลุ่มติดอาวุธซึ่งมีฐานที่ตั้งอยู่ในเยเมนโจมตีเรือพาณิชย์ต่าง ๆ ในทะเลแดง โดยข้อมูลบิดเบือนจากสื่อรัฐบาลของสองประเทศพันธมิตรนี้ได้รับการออกแบบมาให้ปกปิดการกระทำต่าง ๆ ของกลุ่มกบฏฮูตี พร้อม ๆ กับฉายภาพอย่างผิด ๆ ว่า สหรัฐฯ ต่างหากเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดชอบต่อสถานการณ์ความเป็นปรปักษ์ในทะเลแดงที่ยกระดับสูงขึ้น
เมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา สหรัฐฯ เพิ่งเพิ่มกลุ่มฮูตีเข้าไปในบัญชีดำรายชื่อองค์กรก่อการร้ายสำคัญไป
เมื่อวันที่ 19 มกราคม หนังสือพิมพ์ อิซเวสเตีย ที่มีจุดยืนสนับสนุนเครมลิน สัมภาษณ์ โมฮัดเหม็ด อัล-บูไคติ ซึ่งเป็นสมาชิกฝ่ายโพลิทบูโรของกลุ่มกบฏฮูตี และอ้างว่า ฮูตี “ให้ความเคารพ” สิทธิ์ของเรือขนส่งพลเรือนให้ใช้เส้นทางเดินเรือโดยบริสุทธิ์ใจ โดยจะทำการโจมตีเฉพาะเรือที่เป็นของอิสราเอล หรือ “มีความเชื่อมโยงทางใดทางหนึ่งกับอิสราเอล”
อัล-บูไคติ ยังระบุย้ำด้วยว่า สหรัฐฯ และอังกฤษ ซึ่งรวมมือกันตอบโต้กลุ่มฮูตีที่โจมตีเรือต่าง ๆ นั้น จะ “ไม่สามารถใช้หนึ่งในเส้นทางสำคัญทางการค้าโลกได้”
“ในกรณีของประเทศอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงรัสเซียและจีน ไม่มีอะไรจะคุกคามเรือของประเทศเหล่านี้ที่แล่นผ่านภูมิภาค” สมาชิกฝ่ายโพลิทบูโรของกลุ่มกบฏฮูตี กล่าว
นั่นเป็นความเท็จ
กลุ่มฮูตีเริ่มต้นการโจมตีใส่เรือสินค้าและเรือพาณิชย์มากมายหลายสิบครั้งตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ปี 2023 เพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับชาวปาเลสไตน์และเพื่อต่อต้านอิสราเอล
เรือหลายลำที่ถูกโจมตีโดยกลุ่มฮูตีนั้นไม่ได้มีสัมพันธ์กับอิสราเอล อังกฤษ หรือสหรัฐฯ และไม่ได้มีการแล่นไปเปลี่ยนถ่ายสินค้าที่อิสราเอลด้วยซำ
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งที่สำคัญก็คือ เรือขนส่งพาณิชย์นั้นไม่ใช่เป้าหมายการโจมตีทางทหารที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมเลย
การให้สัมภาษณ์ของ อัล-บูไคติ มีออกมาเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังมีรายงานข่าวว่า กลุ่มฮูตีได้พุ่งเป้าโจมตี “อย่างผิดพลาด” เข้าใส่เรือขนส่งน้ำมันรัสเซียเป็นครั้งที่สอง
การโจมตีดังกล่าวเมื่อวันที่ 12 มกราคมนั้นพุ่งเป้าไปยังเรือชื่อ Khalissa ซึ่งมีบริษัทในสาธารณรัฐเซเชลส์เป็นเจ้าของ และติดธงปานามา แต่เพิ่งแล่นออกมาจากเมืองชาร์จาห์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยขนส่งน้ำมันจากเมืองท่า อุสต์-ลูกา ของรัสเซียที่อยู่ใกล้กับอ่าวฟินแลนด์
บริษัท Ambrey ซึ่งเชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางทะเลจากอังกฤษ ประเมินว่า การโจมตีเรือ Khalissa เป็นเรื่องผิดพลาด เนื่องจากข้อมูลที่ไม่ได้รับการอัพเดทซึ่งใส่ชื่อเรือลำนี้ว่า “อยู่ในสังกัดอังกฤษ”
นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ฮูตีระบุเป้าโจมตีผิดเนื่องจากข้อมูลออนไลน์ที่เก่าหรือไม่ถูกต้อง
เมื่อวันที่ 18 ธันวาคมของปีที่แล้ว กลุ่มฮูตีโจมตีเรือขนส่งน้ำมัน Swan Atlantic ของนอร์เวย์
Investor Chemical Tankers ซึ่งเป็นเจ้าของเรือ กล่าวว่า การโจมตีครั้งนั้นน่าจะเกิดขึ้นเพราะข้อมูลที่มีการโพสต์ที่เว็บไซต์ติดตามเรือขนส่งที่ชื่อ Marine Traffic ซึ่งระบุโดยไม่ถูกต้องว่า เรือ Swan Atlantic เป็นเรือที่จัดการดูแล “โดยบริษัทที่เชื่อมโยงกับอิสราเอล”
ในส่วนของกรณีอื่น ๆ กลุ่มฮูตีเคยโจมตีเรือที่ทางกลุ่มอ้างว่า กำลังมุ่งหน้าไปยังอิสราเอลด้วย
เมื่อวันที่ 16 มกราคม กลุ่มฮูตีโจมตีเรือขนส่ง Zografia ซึ่งติดธงมอลตา แต่มีบริษัทในกรีซเป็นเจ้าของ โดยแหล่งข่าวภายในกระทรวงกิจการทางทะเลของกรีซบอกกับสื่อเอเอฟพีว่า เรือลำดังกล่าวกำลังแล่นจากเวียดนามไปอิสราเอลอยู่
อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ติดตามเรือที่ชื่อ Vessel Finder ระบุว่า เรือ Zografia กำลังแล่นไปยังคลองสุเอซ ประเทศอียิปต์ ในช่วงที่ถูกโจมตี ขณะที่ กระทรวงนโยบายการขนส่งทางเรือและนโยบายเกาะของกรีซ กล่าวว่า เรือลำนี้เป็นลำเดียวที่กำลังพุ่งหน้าไปคลองสุเอซอยู่ ตามรายงานของเอพี
และเมื่อวันที่ 2 มกราคม กลุ่มฮูตียังพยายามโจมตีเรือขนส่งทางเรือ CMA CGM Tage ของบริษัทฝรั่งเศสแต่ติดธงมอลตาด้วย โดยกลุ่มติดอาวุธนี้อ้างว่า เรือที่ว่ากำลังแล่นไปยังอิสราเอลอยู่
อย่างไรก็ดี เรือ CMA CGM บอกกับรอยเตอร์ว่า ตนกำลังล่องเรือไปยังอียิปต์อยู่ และไม่ได้กำลังไปอิสราเอล ดังที่มีการกล่าวอ้าง
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม กลุ่มฮูตีโจมตีเรือ MSC Palatium III ที่ติดธงลิทัวเนีย แต่มีบริษัท MSC Mediterranean Shipping Co. ของสวิตเซอร์แลนด์เป็นเจ้าของ ทั้งยังโจมตีเรือ Al Jasrah ที่ติดธงไลบีเรียและดูแลจัดการโดยบริษัท Hapag Lloyd ของเยอรมนี
เรือ MSC Palatium III นั้นขึ้นทะเบียนไว้ว่า นครเจดดาห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย คือ เป้าหมายการเดินทางของตน โดยข้อมูลทางเว็บไซต์ Marine Traffic ก็ยืนยันเรื่องนี้เช่นกัน ตามรายงานของรอยเตอร์
เรือ MSC ยังเปิดเผยด้วยว่า เรือ Alyana ซึ่งติดธงไลบีเรียเช่นกัน และถูกกลุ่มฮูตีข่มขู่ไว้ แต่ยังไม่ได้ทำการโจมตีจริงในวันที่ 16 ธันวาคม ก็เป็นเรืออีกลำที่ขึ้นทะเบียนว่าจะล่องไปนครเจดดาห์
ส่วนเรือ Al Jasrah ที่มีลูกเรือเป็นชาวฟิลิปปินส์ กำลังเดินทางจากท่าเรือเมืองพิราเออุส ประเทศกรีซ ไปยังสิงคโปร์ขณะที่ถูกโจมตี
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนของปีที่แล้ว กลุ่มฮูตีทำการจี้เรือพาณิชย์ Galaxy Leader ที่ติดธงบาฮามาส และจับลูกเรือชาวฟิลิปปินส์อย่างน้อย 17 คนเป็นตัวประกัน โดยเรือลำนี้ดูแลจัดการโดยบริษัท Nippon Yusen ของญี่ปุ่นและมีบริษัท Ray Car Carriers ที่จดทะเบียนในอังกฤษเป็นเจ้าของ
แต่ทั้งบริษัท Ray Car Carriers และเรือ Galaxy Leader นั้นต่างก็มีบริษัท Ray Shipping ที่มีที่ทำการใหญ่ในกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล เป็นเจ้าของอีกที
เรือหลายลำที่กลุ่มฮูตีพุ่งเป้าโจมตี นั้นคล้าย ๆ กรณีของเรือ Galaxy Leader ตรงที่ว่า มีลูกเรือจากหลายประเทศอยู่บนเรือแต่ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวพันกับอิสราเอล อังกฤษ หรืออียิปต์เลย และเรือบางลำถึงกับมีการส่งสัญญาณออกมาด้วยว่า ลูกเรือของตนเป็นชาวจีนทั้งหมดเพื่อจะได้ไม่ถูกโจมตี
อีกกรณีหนึ่งคือ การที่ฮูตีส่งโดรนและยิงขีปนาวุธหลายลูกเข้าใส่เรือพาณิชย์หลายลำในทะเลแดงเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม โดยมีเรือ 3 ลำที่ถูกโจมตี และหนึ่งในนั้นคือเรือ Unity Explorer ที่มีบริษัท Unity Explorer LTD ที่จดทะเบียนในอังกฤษ เป็นเจ้าของ
รายงานระบุว่า เดวิด อุนการ์ ผู้อำนวยการของ Unity Explorer LTD ถือสัญชาติอิสราเอลร่วมกับสัญชาติอังกฤษ และอาศัยอยู่ในอังกฤษด้วย
แต่เพราะเรือ Unity Explorer ติดธงบาฮามาส ซึ่งแปลว่า อยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายและกฎเกณฑ์ของบาฮามาสโดยปริยาย
เรืออีกลำที่ถูกโจมตีคือ M/V Number 9 ซึ่งเป็นเรือขนส่งติดธงปานามาที่มีบริษัท Number 9 Shipping Ltd. เป็นเจ้าของ โดยเรือลำนี้มีบริษัท Berhard Schulte Shipmanagement ที่จดทะเบียนในอังกฤษเป็นผู้บริหารดูแล
แม้ว่าในเวลานี้ กลุ่มฮูตีจะขึ้นชื่ออังกฤษว่าเป็นหนึ่งในเป้าหมายของตน ในช่วงต้นของปฏิบัติการโจมตีเรือต่าง ๆ นั้น กลุ่มนี้ไม่ได้ชี้แจงดังว่า และดำเนินการยิงถล่มเป็นเวลากว่าเดือน ก่อนอังกฤษและสหรัฐฯ จะทำการโต้กลับเมื่อวันที่ 1 มกราคม
เรือลำที่ 3 ที่ถูกโจมตีเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม คือ AOM Sophie II ซึ่งเป็นเรือขนส่งที่บริษัทญี่ปุ่นเป็นเจ้าของ และจดทะเบียนในปานามาและติดธงปานามาด้วย โดยขณะที่ถูกโจมตีนั้น เรือลำดังกล่าวกำลังแล่นจากเวเนซุเอลาไปยังจีน
จีนซึ่งปกติเป็นมิตรกับอิหร่านและส่งสัญญาณสนับสนุนปาเลสไตน์ พยายามสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางการเมืองและทางพาณิชย์ในตะวันออกกลางอยู่ โดยมีการเรียกร้องให้มีการยุติ “การก่อกวนรังควานเรือต่าง ๆ ของพลเรือน” ในทะเลแดงด้วย
- ที่มา: ฝ่าย Polygraph วีโอเอ