ลิ้งค์เชื่อมต่อ

ตรวจสอบข่าว: บล็อกเกอร์จีนมั่วแปลคำพูดนายพลอเมริกัน บิดเบือนเป้าหมายนาโต้ในยูเครน


Chinese Blogger Misquotes U.S. General to Falsify NATO Goals in Ukraine
please wait

No media source currently available

0:00 0:01:36 0:00

Video producer Nik Yarst

จุน หวู จี่

จุน หวู จี่

บล็อกเกอร์ด้านกิจการทหารชื่อดังของจีน โพสต์คลิปวิดีโอขึ้นบน ‘เว่ยโป๋’ แอปพลิเคชั่นจีนที่คล้ายกับทวิตเตอร์

“เรื่องใหญ่! – นายพลสหรัฐฯ เผย เป้าหมายของนาโต้คือ การล้มสหพันธรัฐรัสเซีย”

False

เมื่อวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา จุน หวู จี่ บล็อกเกอร์ด้านกิจการทหารชื่อดังของจีน โพสต์คลิปวิดีโอชิ้นหนึ่งขึ้นบนเว่ยโป๋ (Weibo) แอปพลิเคชั่นยอดนิยมของจีนที่คล้ายกับทวิตเตอร์ (Twitter) โดยมีการขึ้นข้อความว่า “เรื่องใหญ่ – นายพลสหรัฐฯ เผย เป้าหมายของนาโต้คือ การล้มสหพันธรัฐรัสเซีย”

เนื้อหาของวิดีโอชิ้นนี้เริ่มต้นด้วยข่าวที่ระบุว่า สหรัฐฯ จะส่งมอบความช่วยเหลือด้านความมั่นคงเพิ่มอีก 675 ล้านดอลลาร์ให้กับยูเครน เพื่อใช้ในการรบกับผู้รุกรานชาวรัสเซีย โดยมีการบรรยายว่า

U.S. Air Force Staff Sgt. Cody Brown, right, with the 436th Aerial Port Squadron, checks pallets of 155 mm shells ultimately bound for Ukraine, April 29, 2022, at Dover Air Force Base, Delaware. (Alex Brandon/AP)
U.S. Air Force Staff Sgt. Cody Brown, right, with the 436th Aerial Port Squadron, checks pallets of 155 mm shells ultimately bound for Ukraine, April 29, 2022, at Dover Air Force Base, Delaware. (Alex Brandon/AP)

“สหรัฐฯ และประเทศในยุโรปต่างกระตือรือร้นที่จะช่วยยูเครน – พวกเขาอ้างว่า เพื่อปกป้องอธิปไตยของยูเครน แต่จริง ๆ แล้ว พวกเขามีเป้าหมายของตนเองที่ต้องการบรรลุให้ได้ต่างหาก”

จากนั้น ภาพในคลิปก็ตัดไปที่บทสัมภาษณ์ของพลโทเบน ฮอดเจส อดีตผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐฯ ภาคพื้นยุโรป (EUCOM) โดย Times Radio โดยมีเสียงบรรยายว่า

“เมื่อวันที่ 11 กันยายน พลโทเบน ฮอดเจส แห่งสหรัฐฯ อดีตผู้บัญชาการ EUCOM กล่าวว่า เป้าหมายของสหรัฐฯ และประเทศ(สมาชิก)นาโต้[อื่น ๆ] คือ ‘ล้มสหพันธรัฐรัสเซีย’

“… ฮอดเจส ยังกล่าวด้วยว่า นาโต้ควรเตรียมพร้อมที่จะทำลายรัสเซียให้ราบคาบ โดยไม่เหมือนกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ที่ได้ผลลัพธ์เพียงครึ่งหนึ่งแต่ใช้แรงมากถึง 2 เท่า เขายังเน้นย้ำด้วยว่า ‘เราต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์แบบสหภาพโซเวียต’”

คำพูดเหล่านี้เป็นการนำเสนอข้อมูลที่ผิดไปจากสิ่งที่ ฮอดเจส กล่าวไว้อย่างสิ้นเชิง แต่โพสต์นี้ก็ยังถูกแชร์ออกไปอย่างมากมายบนเว่ยโป๋ และสื่อจีนหลายแห่งก็ได้นำเอาไปตีพิมพ์ต่ออีกหลายต่อหลายครั้งด้วย

ในความเป็นจริง ฮอดเจส เพียงแต่กล่าวว่า ชาติตะวันตกจำต้อง “เตรียมตัวไว้เพื่อรับกับ” เหตุล่มสลายของรัสเซียที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากแรงถ่วงจากสงครามในยูเครนและมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจของชาติตะวันตก

คำพูดของ ฮอดเจส ที่ให้สัมภาษณ์แบบคำต่อคำนั้นคือ “ผมคิดว่า มีความน่าจะเป็นอยู่ ผมเชื่อด้วยว่า ด้วยเหตุผลหลายข้อ เราอาจกำลังมองดูจุดเริ่มต้นของการล่มสลายของสหพันธรัฐรัสเซียที่เห็นกันอยู่ ในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า”

ทั้งนี้ อดีตผู้บัญชาการ EUCOM ไม่เคยระบุเลยว่า การล่มสลายของรัสเซียคือเป้าหมายของนาโต้ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรทางทหารที่นำโดยสหรัฐฯ และไม่เคยระบุด้วยว่า นาโต้ หรือ ชาติตะวันตก ตั้งเป้าที่จะทำลายรัสเซีย

คำตอบของ ฮอดเจส ที่ให้กับผู้สัมภาษณ์ของ Times Radio นั้นเป็นเพียงการตั้งคำถามว่า การที่กองกำลังรัสเซียถอยทัพออกจากคาร์คิฟเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายน “อาจนำไปสู่จุดเริ่มต้นของการสลายตัวของสหพันธรัฐรัสเซีย” หรือไม่

เมื่อวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา ยูเครนทำการโต้กลับกองกำลังรัสเซียที่ครอบครองพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ของประเทศไว้ และไม่ถึง 1 สัปดาห์ กองกำลังของยูเครนเดินหน้าทะลวงพื้นที่ตั้งทางทหารของรัสเซียโดยแทบไม่เผชิญแรงต้านเลย โดยเฉพาะในแคว้นคาร์คิฟทางตะวันออกเฉียงเหนือ

และภายในวันที่ 11 กันยายน หรือเพียง 4 วัน กองกำลังยูเครนสามารถยึดคืนพื้นที่ของตนได้กว่า 1,100 ตารางไมล์ ตามข้อมูลของเจ้าหน้าที่กรุงเคียฟ โดยสถาบัน Institute for the Study of War (ISW) ซึ่งเป็นสถาบันมันสมองที่ตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน ชี้ว่า ขนาดพื้นที่ดังกล่าวนั้นมากกว่าพื้นที่ที่รัสเซียยึดไปตั้งแต่เดือนเมษายนมาด้วย

ในวันที่ 11 กันยายนเช่นกัน รัสเซีย “ยอมรับว่า ตนเสียพื้นที่เกือบทั้งหมดในแคว้นคาร์คิฟทางเหนือ” หลังฝ่ายยูเครนทำการตอบโต้กลับ แม้ว่าเจ้าหน้าที่ทำเนียบเครมลินจะพยายามแย้งว่า การถอยทัพที่เกิดขึ้นนั้นเป็นแผน “จัดทัพใหม่” ก็ตาม

ขณะเดียวกัน สื่อจีนก็ยังคงรายงานตามคำบอกเล่าของเครมลินว่า การถอยทัพคือการจัดทำใหม่ แม้ในวันที่ 10 กันยายน สถาบัน ISW ได้เปิดเผยบทวิเคราะห์ของตนที่แสดงให้เห็นภาพตรงกันข้ามกับสิ่งที่รัสเซียพยายามยืนยัน ว่า

“การโจมตีโต้กลับของยูเครนในคาร์คิฟโอบลาสต์นั้นบีบให้กองกำลังรัสเซียต้องเปลี่ยนเส้นทางขนส่งเสบียงและนำมาซึ่งการล่มสลายของแนวหลักดอนบาส (Donbas axis) ทางตอนเหนือ(ของยูเครน)ที่รัสเซียยึดครองอยู่ (และ) รัสเซียไม่ได้กำลังดำเนินการถอนทัพแบบที่มีการวางแผนไว้ และเร่งหนีออกจากคาร์คิฟโอบลาสต์ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อหลบภัยจากการโอบล้อมรอบเมืองอิซยุม”

หนังสือพิมพ์ The Washington Post อ้างข้อมูลจากประชาชนในพื้นที่ที่กองทัพยูเครนปลดปล่อยจากการควบคุมของรัสเซีย และรายงานว่า “พวกรัสเซียทิ้งปืนและหนีไปโดยใช้จักรยานที่ขโมยมา และแฝงตนเป็นพลเรือนเมื่อรู้ตัวว่าพวกตนจะต้องถอยทัพแล้ว”

สำนักข่าว CNN ยังเปิดเผยคลิปวิดีโอที่ถูกเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์มาก่อนหน้าและทีมงานได้วิเคราะห์และชี้จุดทางภูมิศาสตร์แล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นภาพหน่วยทหารรัสเซียที่เร่งเดินทางออกจากพื้นที่รบด้วยความโกลาหล “โดยมีกระสุนและอาวุธยุทโธปกรณ์ถูกทิ้งไว้เป็นจำนวนมาก”

รายงานข่าวระบุว่า กองทหารยูเครนสามารถรุกคืบเข้าไปในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของตนได้มากขึ้นนับตั้งแต่เริ่มโจมตีกลับมา และสามารถยึดคืนพื้นที่เมืองต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ใกล้กับชายแดนรัสเซียมาได้ด้วย

และเมื่อวันที่ 13 กันยายน จอห์น เคอร์บี โฆษกด้านความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาว ยืนยันรายงานการถอยทัพของรัสเซียจากในและรอบ ๆ คาร์คิฟโอบลาสต์ โดยเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็น “การเปลี่ยนแปลงทางพลวัต”

นักวิเคราะห์ทางทหารหลายรายเห็นด้วยกับสิ่งที่พลโทฮอดเจสให้สัมภาษณ์กับ Times Radio ว่า พลวัตการสู้รบในเวลานี้ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นฝั่งยูเครนที่มีความได้เปรียบแล้ว และกองทัพกรุงเคียฟคือ ฝ่ายที่จะตัดสินใจการเดินหน้าทำการรบแทนแล้ว

และหลังการให้สัมภาษณ์กับ Times Radio แล้ว ฮอดเจส ยังได้เขียนบทความแสดงความคิดเห็นลงในหนังสือพิมพ์ Telegraph ที่ตีพิมพ์ออกมาในวันที่ 13 กันยายนด้วยว่า

“เวลานี้ ผมเชื่อแล้วว่า มีความน่าจะเป็นอย่างชัดเจนว่า ภาวะอ่อนแรงที่ถูกเปิดโปงออกมาของ [ประธานาธิบดีรัสเซีย] วลาดิเมียร์ ปูติน มีความสาหัสมากเสียจน เราอาจจะกำลังร่วมเป็นประจักษ์พยานต่อการเริ่มต้นของจุดจบ – ไม่ใช่เพียงของระบอบการปกครองของเขา (ปูติน) เท่านั้น แต่ยังเป็นของสาธารณรัฐรัสเซียเองด้วย

“อาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ประกอบไปด้วยชนกลุ่มน้อยกว่า 120 กลุ่ม กำลังอยู่บนรากฐานที่ไม่ยั่งยืนเสียแล้ว ... การล่มสลายของอาณาจักรนี้อาจเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงแรก แต่อาจแปรเปลี่ยนมาเป็นเหตุการณ์ที่ยากจะควบคุม เต็มไปด้วยความรุนแรงและเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนได้”

“ถ้าหากเราประสบความล้มเหลวในการเตรียมตัวเพื่อรับกับความน่าจะเป็นนี้ แบบเดียวกับที่เราเคยล้มเหลวในการเตรียมตัวรับการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ประเด็นนี้อาจนำมาซึ่งความไม่มีเสถียรภาพอย่างใหญ่หลวงต่อภูมิรัฐศาสตร์ของเราได้”

แต่ยังมีนักวิเคราะห์บางส่วนที่ไม่ได้มองเช่นนี้ และกล่าวว่า ปธน.ปูติน ได้สร้างความแข็งแกร่งให้กับการควบคุมอำนาจปกครองประเทศของตนผ่านสถานการณ์ต่าง ๆ มาได้เสมอ ตั้งแต่เหตุการณ์สงครามนองเลือดในเชชเนีย ไปจนถึงภาวะวุ่นวายในตลาดน้ำมันโลก และการดำเนินมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจโดยชาติตะวันตกหลังจากรัสเซียผนวกคาบสมุทรไครเมียเข้ากับตนในปี ค.ศ. 2014

นอกจากนั้น ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในรัสเซียพบว่า ชาวรัสเซียยังคงสนับสนุนปธน.ปูติน ให้เดินหน้าทำสงครามในยูเครนต่อไป แม้ว่า ระดับความนิยมของผู้นำเครมลินในต่างประเทศจะตกฮวบไปแล้วก็ตาม

  • ที่มา: ฝ่ายตรวจสอบข่าว Polygraph ของวีโอเอ
XS
SM
MD
LG