เมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา จินา ไรมอนโด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เดินทางเยือนจีน ในเวลาเดียวกับที่ หัวเหว่ย บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่สัญชาติจีน เปิดตัวโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งก็คือ เมท 60 โปร (Mate 60 Pro) ซึ่งมาพร้อมกับชิปประมวลผล คิริน 9000เอส (Kirin 9000s) ขนาด 7 นาโนมิเตอร์อันล้ำสมัยที่ผลิตในจีนและทำให้อุปกรณ์นี้ใช้งานเทคโนโลยี 5จี ได้แล้ว
ชิปประมวลผลนี้เป็นนวัตกรรมชิ้นแรกที่ใช้เทคโนโลยีขนาด 7 นาโนมิเตอร์ของ Semiconductor Manufacturing International Corporation (SMIC) ซึ่งรัฐบาลกรุงปักกิ่งถือหุ้นบางส่วนไว้อยู่และมีที่ทำการในนครเซี่ยงไฮ้
ข้อมูลจาก TechInsights ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีล้ำสมัยและเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงออตตาวา แสดงให้เห็นว่า พัฒนาการล่าสุดนี้ชี้ว่า “รัฐบาลจีนสามารถรุดหน้าในความพยายามที่จะสร้างระบบนิเวศสำหรับการผลิตชิปภายในประเทศบ้างแล้ว”
ฝ่ายสหรัฐฯ ก็เปิดเผยว่า ได้มีการสืบสวนอยู่ว่า โทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่นี้มีการละเมิดมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่ดำเนินการต่อหัวเหว่ยและ SMIC เนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคงแห่งชาติที่ว่า บริษัททั้งสองอาจนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้งานด้านการทหาร
ขณะเดียวกัน การเปิดตัวโทรศัพท์รุ่น Mate 60 Pro กลายมาเป็นกระแสฮิตอย่างมากทางสื่อสังคมออนไลน์และสื่อของรัฐของจีน โดยบรรดาผู้ใช้อินเทอร์เน็ตของจีนแห่กันทำโฆษณาปลอม ๆ ที่นำภาพของรมต.ไรมอนโด ของสหรัฐฯ มาแต่งเป็นทูตแบรนด์หัวเหว่ย และแชร์ไปทั่วแล้ว
ภาพที่มีการแต่งขึ้นมานั้นมีข้อความประกอบที่ว่า “ดิฉัน ไรมอนโด และครั้งนี้ ดิฉันขอรับรอง หัวเหว่ย ค่ะ” พร้อมกับภาพของรมว.พาณิชย์สหรัฐฯ ถือโทรศัพท์รุ่น Mate 60 Pro ของหัวเหว่ยในมือด้วย
สื่อรัฐบาลจีนเช่น Global Times และสถานีโทรทัศน์ CCTV และสื่อที่ใกล้ชิดกับรัฐเช่น ไฉ่ซิน (Caixin) และ SCMP ต่างออกมาแสดงความยินดีกับหัวเหว่ยต่อ “การฝ่าด่านมาตรการลงโทษของสหรัฐฯ” และการได้ชัยในสงครามการเชื่อมต่อด้วยเทคโนโลยี 5จี
นอกจากนั้น บรรดาอินฟลูเอนเซอร์ (influencer) หรือ ผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ ที่มีจุดยืนสนับสนุนและชื่นชอบจีน ยังนำแห่แชร์ข้อความที่มีเนื้อหาคล้าย ๆ กันพร้อมคลิปวิดีโอแสดงภาพวลอกเกอร์ที่ไม่มีการระบุตัวตนทำการถอดโทรศัพท์ Mate 60 Pro เป็นชิ้น ๆ และทำท่าเหมือนตรวจสอบอยู่ โดยข้อความที่ว่ามีเนื้อหาดังนี้:
“ในจีน วล็อกเกอร์รายนี้นำโทรศัพท์สมาร์ทโฟน หัวเหว่ย เมท 60 โปร มาถอดเป็นชิ้น และพบว่า ชิ้นส่วนประกอบทั้งหมด 100% ถูกพัฒนา/ผลิตในจีน (ตั้งแต่ ชิป Kirin9000s ไปจนถึง ตัวกล้อง) และนี่แสดงให้เห็นว่า การปิดกันเทคโนโลยีโดยสหรัฐฯ ต่อหัวเหว่ยนั้นล้มเหลวไปแล้ว!”
คำกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นความจริงบางส่วน เพราะโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของหัวเหว่ยใช้เทคโนโลยี 5จี ซึ่งอยู่เหนือเกณฑ์ที่สหรัฐฯ ตั้งไว้ และความจริงที่ว่า โทรศัพท์รุ่นนี้มีจำหน่ายในตลาดย่อมหมายความว่า จีนอาจสามารถผลิตสินค้าไฮเทคสำหรับการสื่อสารที่มีการจำกัดควบคุมไว้ในปริมาณมาก ๆ เองได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวว่า มาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่พุ่งเป้าไปยังหัวเหว่ยและ SMIC ล้มเหลวจริง โดยสื่อบลูมเบิร์กรายงานว่า “ชิปของหัวเหว่ยแสดงให้เห็นว่า การสกัดกั้นของสหรัฐฯ มีรูให้แทรกซึม แต่ไม่ได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว” และว่า “ในความเป็นจริงนั้น การเปิดตัวโทรศัพท์ Mate 60 Pro เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แสดงให้เห็นว่า ความสำเร็จของมาตรการลงโทษนั้นอยู่ในภาวะสีเทา ๆ และผลกระทบที่แท้จริงนั้นจะตามมาในอนาคต”
สื่อของจีนรายงานว่า แม้จะมีกระแสตื่นเต้นจากการประกาศของหัวเหว่ยออกมา การหาซื้อมือถือใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Mate 60 หรือ Mate 60 Pro นั้นยังเป็นความท้าทายพอควร เพราะแม้แต่การสั่งซื้อทางออนไลน์กับบริษัทเองก็มีแต่คำตอบว่า “สินค้าหมด” ขึ้นมาตลอด
ประเด็นนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญตั้งคำถามว่า จีนมีความสามารถที่จะผลิตเซมิคอนดักเตอร์เป็นจำนวนมาก ๆ ได้จริงแล้วหรือไม่
ดักลาส ฟุลเลอร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์จาก Copenhagen Business School บอกกับ วีโอเอ ว่า การที่จะสามารถผลิตชิปที่ใช้งานได้จริง และการที่จะสามารถผลิตชิปออกมาเป็นล้าน ๆ ชิ้นในต้นทุนที่ไม่ทำให้บริษัทต้องล้มละลาย เป็น “เรื่องสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างมาก ๆ”
ฟุลเลอร์ ยังตั้งคำถามด้วยว่า ชิปขนาด 7 นาโนมิเตอร์ที่ว่านั้น มีการผลิตออกมามากพอเพื่อการพาณิชย์จริงหรือไม่ เพราะยังไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า บริษัท SMIC สามารถผลิตชิปที่ว่า “ในปริมาณสูง เป็นจำนวนมากจนได้ผลตอบแทนที่ดีและทำกำไรได้” จริง
ยิ่งไปกว่านั้น กระแสตื่นเต้นทางสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับคำประกาศชัยชนะของหัวเหว่ยต่อมาตรการจำกัดการค้าของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงหลักฐานของการดำเนินแผนงานโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลจีนด้วย อันได้แก่ เป็นการโพสต์ข้อมูลที่ใช้ภาษาแบบเดียวกัน ออกมาพร้อม ๆ กัน และสะท้อนให้เห็นภาพของอุดมการณ์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน
ข้อมูลจาก Miburo บริษัทวิจัยที่ติดตามปฏิบัติการข้อมูลบิดเบือนต่าง ๆ ชี้ว่า กรุงปักกิ่งทำการสร้างเครือข่ายบุคลากรสื่อสังคมออนไลนอย่างเงียบ ๆ เพื่อออกมาพูดจาภาษารัฐบาลผ่านโพสต์ของแต่ละคนบนสื่อสังคมออนไลน์สัญชาติตะวันตก เช่น เอ็กซ์ เฟซบุ๊ก (Facebook) และอินสตาแกรม (Instagram) โดยเครือข่ายที่ว่านั้นรวมความถึง “พนักงานบริษัทสื่อของรัฐบาลจีนที่รับงานเป็นอินฟลูเอนเซอร์ด้านไลฟ์สไตล์” และ “ชาวต่างชาติที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนจ้างมา”
หัวเหว่ยนั้นถูกกล่าวหาว่า เกี่ยวข้องกับการจารกรรมขององค์กรธุรกิจเพื่อขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของคู่แข่ง โดยในปี 2020 กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ยื่นฟ้องบริษัทแห่งนี้ว่า ทำการขโมยข้อมูลความลับทางการค้าจากบริษัทอเมริกัน 6 แห่งในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา
มีการพบเอกสารที่แสดงให้เห็นว่า หัวเหว่ยช่วยทางการจีนสร้างเทคโนโลยีสังเกตการณ์ขึ้นมาและพุ่งเป้าใช้งานต่อประชากรชนกลุ่มน้อยอุยกูร์ในภาคตะวันตกของประเทศ แต่หัวเหว่ยก็ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้
ภายใต้รัฐบาลอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สหรัฐฯ สั่งดำเนินการจำกัดหัวเหว่ยไม่ให้เข้าถึงเครื่องมือผลิตชิปต่าง ๆ ที่มีความสำคัญต่อการผลิตอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือที่ใช้เทคโนโลยี 5จี ที่ล้ำสมัยที่สุด ดังนั้น หากจีนสามารถผลิตชิป 5จี ของตนมาได้เองก็จะถือเป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสำหรับหัวเหว่ยอย่างมาก
เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวไว้ว่า สหรัฐฯ ต้องมีข้อมูลมากกว่านี้เกี่ยวกับ “องค์ประกอบและลักษณะ” ของชิปขนาด 7 นาโนมิเตอร์แบบใหม่ของจีน ก่อนจะตัดสินได้ว่า มาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ นั้นล้มเหลวจริงหรือไม่ หรือว่า จีนได้ทำการละเมิดมาตรการต่าง ๆ หรือไม่
ขณะเดียวกัน สมาชิกสภาคองเกรสออกมาเรียกร้องให้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ สั่งยุติการส่งออกด้านเทคโนโลยีทั้งหมดไปยังหัวเหว่ยและ SMIC ด้วย
รมต.ไรมอนโด กล่าวว่า ในเวลานี้ สหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าจำหน่ายชิปประมวลผลต่าง ๆ ให้กับจีนอยู่ ยกเว้นแต่ชิปรุ่นใหม่ที่ทรงพลังที่สุด “ที่จีนต้องการใช้สำหรับกองทัพของตน”
มีผู้เชี่ยวชาญออกมาแสดงความกังวลด้วยว่า จีนนั้นต้องการที่จะประสบความสำเร็จกับความเจริญก้าวหน้าไปกับการผลิตชิปล้ำสมัยให้ได้ แม้จะเผชิญกับมาตรการจำกัดของสหรัฐฯ อยู่ก็ตาม
พอล ทริโอโล จาก Albright Stonebridge Group ซึ่งเป็นกลุ่มที่ปรึกษาซึ่งตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า แม้เขาจะเห็นด้วยว่า พัฒนาการใหม่ ๆ ของหัวเหว่ยนั้นไม่ได้แสดงให้เห็นว่า จีนสามารถผลิตชิปทันสมัยในปริมาณมาก ๆ ได้ แต่ “นี่ก็แสดงให้เห็นว่า มาตรการควบคุมของสหรัฐฯ นำมาซึ่งแรงกระตุ้นผลักดันให้กับบริษัทจีนได้มากแค่ไหน สำหรับการร่วมมือกันและความพยายามหาหนทางใหม่ ๆ เพื่อสร้างนวัตกรรมด้วยความสามารถทั้งหมดที่ตนมีอยู่ให้ได้”
รอยเตอร์รายงานก่อนหน้านี้ว่า จีนได้เตรียมเปิดตัวกองทุนการลงทุนกองใหม่ที่รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนซึ่งจะจัดสรรเงินราว 40,000 ล้านดอลลาร์ให้กับภาคธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศในเร็ว ๆ นี้ด้วย
- ที่มา: ฝ่าย Polygraph วีโอเอ