นับตั้งแต่รัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครนในปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ นำส่งความช่วยเหลือทางการเงินและด้านความมั่นคงให้กับยูเครนเป็นมูลค่าถึงกว่า 113,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ สมาชิกสภาคองเกรสจากทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับระบบตรวจสอบและประเด็นภาระการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้านนี้กันแล้ว
แต่ในการรับฟังข้อมูลของสภาคองเกรสเมื่อวันที่ 29 มีนาคม เกี่ยวกับความช่วยเหลือที่ส่งให้ยูเครน ไม่มีการพบหลักฐานใด ๆ ที่บ่งชี้ว่า เกิดเหตุทุจริตการใช้งบประมาณก้อนนี้
ในการกล่าวเปิดกระบวนการดังกล่าว ส.ส.ไมเคิล แมคคอล ประธานคณะกรรมาธิการกิจการระหว่างประเทศสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ กล่าวว่า การดำเนินการตรวจสอบครั้งนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะโต้แย้งว่า การสนับสนุนยูเครนนั้นมีความสำคัญหรือไม่ แต่เพื่อให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่า ความช่วยเหลือของสหรัฐฯ นั้น “ถูกนำไปใช้อย่างที่ตั้งใจจริง”
ส.ส.แมคคอล กล่าวว่า:
“จากงบประมาณ 113,000 ล้านดอลลาร์ที่ถูกจัดสรรผ่านกฎหมาย 4 ฉบับ มีประมาณ 60% ที่จัดส่งไปยังทหารอเมริกัน เจ้าหน้าที่อเมริกัน และเพื่อปรับปรุงคลังอาวุธอเมริกันให้ทันสมัยขึ้น
“อันที่จริง มีเพียง 20% ของงบที่ถูกส่งไปถึงรัฐบาลยูเครนโดยตรง ในรูปของการช่วยเหลือด้านงบประมาณโดยตรง”
และเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ Global Times ของรัฐบาลจีน ฉวยโอกาสนำคำแถลงของ ส.ส.แมคคอล มารายงาน โดยโพสต์คลิปวิดีโองานรับฟังข้อมูลสภาคองเกรสดังกล่าวขึ้นแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ เว่ยโป๋ (Weibo) ซึ่งเหมือนกับทวิตเตอร์ โดยมีการขึ้นคำบรรยายประกอบวิดีโอว่า:
“ประธานคณะกรรมาธิการกิจการระหว่างประเทศสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ยืนยัน: เพียง 20% ของความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ใหัยูเครนไปถึงมือกรุงเคียฟ และ 60% นั้นเป็นการนำส่งภายในสหรัฐฯ”
เป็นการทำให้สังคมเข้าใจผิด
ในความเป็นจริง กระบวนการจัดสรรเงินช่วยเหลือยูเครนของสหรัฐฯ เป็นไปดังนี้
ในปี 2022 สภาคองเกรสสหรัฐฯ จัดสรรงบประมาณกว่า 113,000 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยยูเครน ผ่านมาตรการสนับสนุนด้านการเงินเพิ่มเติมแบบฉุกเฉินในเดือนมีนาคม (14,000 ล้านดอลลาร์) เดือนพฤษภาคม (40,000 ล้านดอลลาร์) เดือนกันยายน (14,000 ล้านดอลลาร์) และเดือนธันวาคม (45,000 ล้านดอลลาร์) (ทั้งนี้ ตัวเลขทั้งหมดเป็นการปัดให้ได้จำนวนเต็ม)
แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับเรื่องนี้อธิบายข้อมูลสถิติให้ฝ่าย Polygraph ของวีโอเอเข้าใจ แต่ไม่สามารถนำรายละเอียดมาเปิดเผยต่อสาธารณะได้ เนื่องจากไม่มีอำนาจทำการเช่นนั้น อย่างไรก็ดี ตัวเลขงบช่วยเหลือทั้งหมดที่ราว 113,400 ล้านดอลลาร์ให้กับยูเครนนั้นสามารถแบ่งออกได้ดังนี้:
- 44,270 ล้านดอลลาร์ สำหรับการสนับสนุนการยกระดับแผนการส่งทหารสหรัฐฯ ไปยังยุโรป และสำหรับการเติมและปรับปรุงคลังอาวุธของสหรัฐฯ ให้ทันสมัย
- 22,730 ล้านดอลลาร์ สำหรับอุตสาหกรรมทหารของสหรัฐฯ เพื่อจัดส่งอาวุธให้กับยูเครนและพันธมิตรและหุ้นส่วนในยุโรปที่เผชิญหน้ากับการรุกรานของรัสเซีย
- 22,900 ล้านดอลลาร์ สำหรับรัฐบาลยูเครนเพื่อใช้กับงานบริการที่มีความสำคัญต่าง ๆ เช่น หน่วยกู้ชีพเบื้องต้น (ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลข “20%” ที่ ส.ส.แมคคอล ระบุ)
- 18,700 ล้านดอลลาร์ สำหรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและด้านอื่น ๆ ให้กับยูเครน และประเทศที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งรวมความถึงการแก้ไขปัญหาความมั่นคงอาหารโลกผ่านหุ้นส่วนทั่วโลกของสำนักความมั่นคงทางอาหารและการปรับฟื้นตัว ภายใต้หน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐฯ (USAID)
- 4,810 ล้านดอลลาร์ สำหรับหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีการดำเนินนโยบายเกี่ยวกับยูเครน
ตัวเลข “ราว 60%” ที่ ส.ส.แมคคอล กล่าวว่า จะ “จัดส่งไปยังทหารอเมริกัน เจ้าหน้าที่อเมริกัน และเพื่อปรับปรุงคลังอาวุธอเมริกันให้ทันสมัยขึ้นนั้น มาจากการคิดรวมตัวเลข 2 ตัวแรก ซึ่งก็คือ 44,270 ล้านดอลลาร์และ 22,730 ล้านดอลลาร์ จนได้ 67,000 ล้านดอลลาร์ ที่เท่ากับประมาณ 59.3% ของงบประมาณรวม
ส่วนตัวเลข 20.04% นั้นเป็นงบที่ใช้สำหรับแนวคิดริเริ่มความช่วยเหลือด้านความมั่นคงยูเครน (Ukraine Security Assistance Initiative -- USAI) ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และสำหรับแผนงานสนับสนุนด้านการเงินสำหรับกองทัพต่างประเทศ (Foreign Military Financing -- FMF) ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เพื่อนำไปจัดซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ โดยตรงจากอุตสาหกรรมทหารของอเมริกา เพื่อนำส่งไปยังยูเครนและพันธมิตรและหุ้นส่วนอื่น ๆ ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคยุโรป ตามข้อมูลที่แหล่งข่าวอธิบายให้ฝ่าย Polygraph ฟัง
มาร์ค แคนเชียน ที่ปรึกษาอาวุโสของโครงการความมั่นคงระหว่างประเทศ ณ Center for Strategic and International Studies (CSIS) ซึ่งเป็นหน่วยงานคลังสมองในกรุงวอชิงตัน เห็นด้วยกับการแจกแจงตัวเลขที่แหล่งข่าวของ Polygraph อธิบายมาข้างต้น
แคนเชียน กล่าวว่า ความช่วยเหลือของสหรัฐฯ ให้กับยูเครนนั้นสามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม
- ความช่วยเหลือทางทหาร
- ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
- การสนับสนุนทางเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลยูเครน ซึ่งถูกจัดส่งไปยังกรุงเคียฟโดยตรง “เพื่อช่วยให้ปฏิบัติการต่าง ๆ เดินหน้าต่อไป เนื่องจากภาวะสงครามนั้นส่งผลให้เครื่องมือของรัฐบาลในการจัดเก็บรายได้ต้องหยุดชะงักไป..”
- ต้นทุนปฏิบัติการของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับยูเครน เช่น ค่าใช้จ่ายสำหรับการเคลื่อนย้ายบุคลากรของสถานทูต การดำเนินคดีอาชญากรรมสงคราม และการดำเนินมาตรการลงโทษต่าง ๆ
นอกจากนั้น แคนเชียน ยังแตกตัวเลขความช่วยเหลือทางทหารซึ่งเป็นสิ่งที่ยูเครนกำลังต้องการมากที่สุดในเวลานี้ ออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ 4 กลุ่มดังนี้:
- การสนับสนุนทางทหารระยะสั้น ซึ่ง “รวมความถึง การเคลื่อนย้ายอาวุธ ทั้งของสหรัฐฯ เองและที่สั่งซื้อมาจากพันธมิตร และการฝึกอบรมบุคลากรทางทหารของยูเครน รวมทั้งการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรอง”
- การสนับสนุนทางทหารระยะยาว ซึ่ง “รวมถึงเงินที่ยูเครนสามารถใช้เพื่อซื้ออาวุธใหม่ที่ส่วนใหญ่มาจากสหรัฐฯ แต่ก็มีมาจากประเทศอื่นด้วย” โดยงบประมาณสนับสนุนกลุ่มนี้ “น่าจะเป็นเงินสนับสนุนการฟื้นฟูกองทัพยูเครนหลังสงครามจบลง แต่ไม่รวมถึงปฏิบัติการที่ยังดำเนินอยู่”
- ปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ: นับตั้งการรัสเซียเริ่มรุกรานยูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2022 เพนตากอนได้ส่งหรือยืดระยะเวลาประจำการของทหารกว่า 20,000 นายในยุโรปเพื่อตอบโต้เรื่องนี้ โดยค่าใช้จ่ายสำหรับการส่งทหารนั้นสูงเกินกว่างบประมาณที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ วางไว้ จุดนี้จึงเป็นส่วนที่อธิบายประเด็นที่ ส.ส.แมคคอล พูดว่า มีความช่วยเหลือที่ “ส่งไปยังทหารอเมริกัน” นั่นเอง
- แผนงานสนับสนุนต่าง ๆ ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ: ซึ่งรวมความถึงกิจกรรมที่ใช้เตรียมกระทรวงฯ ให้พร้อมรับสถานการณ์ความขัดแย้งในอนาคต “โดยบางส่วนมีความเกี่ยวเนื่องกับสถานการณ์ในยูเครนเล็กน้อย”
แคนเชียน บอกกับฝ่าย Polygraph ว่า ยุทโธปกรณ์ด้านกลาโหมมูลค่าราว 25,000 ล้านดอลลาร์นั้นถูกส่งไปยังยูเครน ผ่านการใช้อำนาจเบิกถอนของประธานาธิบดี หรือ PDA (Presidential Drawdown Authority) ซึ่งประธานาธิบดีโจ ไบเดน สามารถใช้เพื่อสั่งให้มีการนำส่งพัสดุด้านการทหารต่าง ๆ จากคลังของกระทรวงกลาโหมออกไปทันที โดยไม่ต้องรอการอนุมัติจากสภาคองเกรส
ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมต้องรักษาระดับยุทโธปกรณ์ในคลังของตนให้อยู่ในระดับหนึ่งสำหรับแผนงานด้านสงครามและการฝึกอบรมของกองทัพสหรัฐฯ ดังนั้น หลังมีการส่งอาวุธออกจากคลังไปให้ยูเครนแล้ว กระทรวงกลาโหมต้องสั่งซื้อเพิ่มจากอุตสาหกรรมทางทหารเพื่อมาเติมเต็มส่วนที่ส่งออกไป ด้วยเหตุนี้ จึงมีการจัดงบประมาณเพื่อเติมอาวุธยุทโธปกรณ์ หรือ backfilling ซึ่งส่วนนี้จะเป็นผลดีต่อคนงานสหรัฐฯ ในอุตสาหกรรมนี้ไปโดยปริยาย
สำหรับบริษัทหลัก ๆ ในอุตสาหกรรมทางทหารของสหรัฐฯ ที่ได้ประโยชน์จากงบประมาณนี้ มีอาทิ ล็อคฮีด มาร์ติน (Lockheed Martin) บริษัท เรย์ธีออน เทคโนโลยีส์ (Raytheon Technologies) บริษัท โบอิ้ง (Boeing) บริษัท นอร์ธรอบ กรัมแมน (Northrop Grumman) และบริษัท เจเนอรัล ไดนามิกส์ (General Dynamics)
แคนเชียน กล่าวเสริมว่า ยูเครนยังได้ลงนามในสัญญากับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมทางทหารของสหรัฐฯ เพื่อสั่งซื้อยุทโธกรณ์ต่าง ๆ โดยใช้เงินช่วยเหลือที่รัฐบาลสหรัฐฯ มอบให้ด้วย และระบุว่า “จุดนี้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นประโยชน์ต่อคนงานในสหรัฐฯ แม้ว่า จะมีไม่กี่อย่างที่ต้องสั่งซื้อมาจากต่างประเทศก็ตาม”
ในเวลานี้ สหรัฐฯ กำลังจัดส่งยุทโธปกรณ์ทางทหารทั้งที่เป็นรุ่นเก่าและรุ่นปัจจุบันไปให้ยูเครน ซึ่งหมายความว่า เงินที่จัดสรรไว้บางส่วนสำหรับงบช่วยเหลือยูเครนจะถูกนำไปใช้ “เพื่อปรับปรุงคลัง(อาวุธ)อเมริกันให้ทันสมัยขึ้น” – ซึ่งก็คือ การทดแทนอาวุธที่ส่งให้ยูเครนด้วยผลิตภัณฑ์ที่ล้ำสมัยกว่าและใหม่กว่านั่นเอง
- ที่มา: ฝ่าย Polygraph วีโอเอ