ผู้นำจาก 3 ประเทศในยุโรปเดินทางเยือนกรุงเคียฟในวันอังคาร ขณะที่ กองกำลังรัสเซียเดินหน้ายิงถล่มเมืองหลวงของยูเครนและเมืองเป้าหมายอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง
กองทัพรัสเซียเริ่มโจมตีกรุงเคียฟตั้งแต่ช่วงเช้าวันอังคาร ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 คนที่อาศัยอยู่ในอาคารอพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่ง ก่อนที่ วิทาลี คลิตช์โก นายกเทศมนตรีเมือง ประกาศสั่งเคอร์ฟิวเป็นระยะเวลา 36 ชั่วโมง โดยให้มีผลตั้งแต่ช่วงค่ำเป็นต้นไป
นายกรัฐมนตรี เพเทรอ เฟียลา ของสาธารณรัฐเช็ก เปิดเผยแผนเดินทางเยือนกรุงเคียฟ พร้อมๆ กับ นายกรัฐมนตรี มาเทอูซ โมราเวียชกิ แห่งโปแลนด์ และยาเนซ ยานซา นายกรัฐมนตรีสโลวีเนีย ในฐานะตัวแทนสภาสหภาพยุโรป (อียู) เพื่อเข้าพบประธานาธิบดี โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี และนายกรัฐมนตรี เดนิส ชมิฮาล แห่งยูเครน
นายกรัฐมนตรี เฟียลา กล่าวว่า “จุดประสงค์ของการเยือนครั้งนี้คือ การยืนยันการสนับสนุนอันชัดเจนของสหภาพยุโรปทั้งหมด ต่ออธิปไตยและความเป็นอิสระของยูเครน”
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี โมราเวียชกิ แห่งโปแลนด์ โพสต์ข้อความในหน้าเพจเฟซบุ๊กที่ระบุว่า “ในช่วงเวลาที่มีความสำคัญเช่นปัจจุบัน เป็นหน้าที่ของเราที่จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของบันทึกประวัติศาสตร์ ... เพราะว่า นี่ไม่ใช่เพียงแต่เป็นเรื่องของเราเท่านั้น แต่ยังเป็นอนาคตของเด็กๆ ของเราที่มีสิทธิ์ที่จะใช้ชีวิตในโลกเสรีที่ปราศจากเผด็จการทรราชย์”
นอกจากนั้น สหภาพยุโรปยังได้ประกาศการดำเนินมาตรการลงโทษรอบใหม่ต่อรัสเซีย ซึ่งรวมความถึงการห้ามการทำธุรกรรมทั้งหมดกับบริษัทที่รัฐบาลมอสโกเป็นเจ้าของ หรือการทำการลงทุนใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมพลังงานของรัสเซีย รวมทั้งนโยบายจำกัดด้านการค้าที่เข้มงวดขึ้น สำหรับเหล็กและสินค้าฟุ่มเฟือยทั้งหลาย
มาตรการรอบใหม่ของอียูยังพุ่งเป้าไปยัง “อภิมหาเศรษฐีผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจ (oligarch) นักล็อบบี้ยิสต์ และนักโฆษณาชวนเชื่อคนสำคัญๆ ที่อยู่เบื้องหลังการเผยแพร่ข้อมูลที่เครมลินกล่าวอ้างเกี่ยวกับสถานการณ์ในยูเครน รวมทั้งบริษัทหลักๆ ต่างๆ ในอุตสาหกรรมการบิน การทหาร การต่อเรือและการก่อสร้างเครื่องจักรด้วย
โจเซพ บอร์เรลล์ หัวหน้าทีมนโยบายต่างประเทศของอียู กล่าวในวันอังคารว่า “แผนลงโทษชุดที่ 4 นี้จะสร้างความเดือดร้อนเสียหายครั้งใหญ่อีกครั้งให้กับฐานเศรษฐกิจและโลจิสติกส์ ที่รัสเซียพึ่งพาในการดำเนินการรุกรานยูเครน” และระบุว่า “เป้าหมายของมาตรการลงโทษนั้นก็คือ ให้ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ยุติสงครามอันไร้ซึ่งมนุษยธรรมและขาดสตินี้เสีย”
- ข้อมูลบางส่วนมาจาก เอพี เอเอฟพี และรอยเตอร์
