กีฬาที่กำลังได้รับความนิยม และมีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐฯ คือ “พิกเคิลบอล” (Pickleball) ในช่วงสามปีที่ผ่านมา มีผู้เล่นกีฬาชนิดนี้เพิ่มขึ้นถึง 223% แซงหน้ากีฬาทุกประเภท
กระแสความนิยมที่พุ่งทะยาน ได้สร้างความกังวลให้กับกลุ่มผู้ที่รักเทนนิส เพราะเกรงว่าพิกเคิลบอลจะมาคุกคามกีฬาหวดลูกสักหลาด
พิกเคิลบอล เป็นเกมที่เล่นง่าย ผสมกันระหว่างเทนนิสและปิงปอง ผู้เล่นจะใช้ไม้ตีลูกวิฟเฟิลบอล (Wiffleball) หรือลูกพลาสติคที่มีน้ำหนักเบา โดยเริ่มมาจากกลุ่มคนวัยเกษียณอายุ หาวิธีออกกำลังกายในช่วงการระบาดของโควิด-19 ก่อนที่คนหนุ่มสาวจะหันมาเล่นเพิ่มมากขึ้น
เพียงไม่กี่ปี จากกีฬาที่ไม่มีใครรู้จัก ปัจจุบันนี้คาดว่ามีผู้เล่นในสหรัฐฯ จำนวนราว 13.6 ล้านคน ขณะที่จำนวนของผู้เล่นกีฬาเทนนิสอยู่ที่ประมาณ 23.8 ล้านคน อันนำไปสู่ความวิตกที่ว่า ในอนาคตสนามเทนนิสหลายพันแห่ง อาจถูกแทนที่ด้วยสนามพิกเคิลบอล
ดร. ไบรอัน ไฮน์ไลน์ ประธานสมาคมเทนนิสแห่งสหรัฐฯ (U.S. Tennis Association - USTA) กล่าวกับสำนักข่าวเอพีว่า ความนิยมอย่างล้นหลามของพิกเคิลบอล สร้างความกังวลว่าอาจมีแนวโน้มมาแทนที่กีฬาเทนนิส หนึ่งในสัญญาณคือผู้เล่นจำนวนมาก ต่างร้องขอที่จะใช้สนามเทนนิสเพื่อเล่นพิกเคิลบอล เขาบอกว่า “มันเป็นการรณรงค์ที่ไม่มีอะไรแอบแฝง แต่ก็เหมือนเป็นการต่อต้านกีฬาเทนนิสเล็กน้อย”
ในขณะที่ หน่วยงานกำกับดูแลเทนนิสประเทศอื่น ๆ ให้การยอมรับพิกเคิลบอล เพื่อใช้เป็นเกมทางเลือก โดยเชื่อว่าท้ายที่สุดเหล่าผู้เล่นจะพัฒนาไปสู่กีฬาเทนนิส ตัวอย่างเช่น ในการแข่งขันเฟรนช์โอเพ่น (French Open) ปีนี้ สหพันธ์เทนนิสของฝรั่งเศสได้จัดให้มีสนามพิกเคิลบอล เพื่อเปิดโอกาสให้บรรดานักกีฬาชั้นนำและแฟนๆ ได้ทดลองเล่น
แต่ทางด้าน USTA กลับใช้แนวทางที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ในการแข่งขันยูเอส โอเพ่น ไม่มีสนามสาธิตการเล่นพิกเคิลบอล ไม่มีการกล่าวถึง และไม่มีสัญญาณที่กีฬาพิกเคิลบอลและเทนนิส จะมาประสานความร่วมมือกันในอนาคต
กลยุทธ์ที่ USTA นำมาใช้รับมือกระแสความนิยมของพิกเคิลบอล คือส่งเสริมเกมเทนนิสที่เล่นง่ายขึ้นและเหมาะสำหรับคนทุกวัย ใช้ชื่อว่า “เรดบอล เทนนิส” (Red Ball Tennis) โดยจะใช้ลูกบอลที่มีแรงบีบอัดต่ำและเล่นในสนามที่มีขนาดเล็ก ลูกบอลสีแดงเคยถูกใช้สำหรับเด็กเพื่อฝึกหัดเล่นเทนนิส แต่ตอนนี้ถูกนำมาใช้ในกลุ่มผู้ใหญ่ ที่คาดว่าเป็นกลุ่มเดียวกับที่ชื่นชอบกีฬาพิกเคิลบอล
Red Ball Tennis ถูกแนะนำผ่านโครงการนำร่องจำนวน 400 โครงการทั่วสหรัฐฯ โดยผู้เกี่ยวข้องชี้ว่า คอร์ตขนาดเล็กที่เหมาะกับการเริ่มเล่นเกมนี้มากที่สุด คือสนามพิกเคิลบอล
ไฮน์ไลน์ ประธาน USTA บอกว่า ผู้เล่นสามารถเลือกที่จะหวดลูกสีแดง หรือเมื่อเล่นจนชำนาญแล้ว อาจปรับไปใช้ลูกเทนนิสทั่วไป และขยับไปเล่นในคอร์ตขนาดมาตรฐาน เขายังเสริมว่าเสียงตีลูกเทนนิส มีเสน่ห์มากกว่าเสียงลูกบอลพลาสติกของพิกเคิลบอล เขาเปรยว่า “พูดกันแบบตรงๆ เสียงของพิกเคิลบอล เป็นเสียงที่น่ารำคาญ”
ทางด้าน ไมค์ นีลลี ซีอีโอสมาคมพิกเคิลบอล ยูเอสเอ (Pickleball USA) มองว่า พิกเคิลบอลและเทนนิสไม่จำเป็นที่จะต้องแข่งกัน ทั้งคู่เป็นเกมที่แตกต่าง “มันสามารถส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ มีพื้นที่สำหรับความสำเร็จมากมายสำหรับกีฬาทั้งสองประเภท”
โดยรวมทั่วสหรัฐฯ มีสนามพิกเคิลบอลทั้งหมดมากกว่า 50,000 แห่ง และยังมีการสร้างสนามใหม่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งหลายแห่งที่ถูกพัฒนาให้เป็นมากกว่าสนามกีฬา ผู้คนจะได้เล่นพิกเคิลบอล พร้อมกินดื่มสังสรรค์อย่างสนุกสนาน
ทอม โคฟ ประธานและซีอีโอสมาคมอุตสาหกรรมกีฬาและฟิตเนส (Sports & Fitness Industry Association - SFIA) กล่าวว่า กระแสพิกเคิลบอลในสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่ตัวเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน สถิติสำคัญหลายประการยังชี้ว่ากระแสดังกล่าวน่าที่จะดำเนินต่อไป
จากการสำรวจของสมาคม SFIA พบว่า ผู้ที่เล่นพิกเคิลบอลจำนวนมากกว่า 8 ครั้งขึ้นไปในช่วงหนึ่งปี มีจำนวนสูงถึง 4.8 ล้านคน
ส่วนกีฬาเทนนิสมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 10% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และภายในปี 2035 สมาคม USTA ตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนผู้เล่นเทนนิสจาก 23.8 ล้านคน ให้เป็น 35 ล้านคน หรือคิดเป็น 1 ใน 10 ของชาวอเมริกันทั้งหมด
ในทัศนะของไฮน์ไลน์ ประธาน USTA มองว่า การเปรียบเทียบเทนนิสกับพิกเคิลบอล ในเชิงทักษะ ความละเอียดอ่อน และความเป็นกีฬา เป็นสิ่งที่นำมาวัดกันไม่ได้ ท้ายที่สุดคนส่วนใหญ่จะเป็นผู้ตัดสินว่า เกมกีฬาใดถูกใจมากที่สุด
- ที่มา: เอพี
กระดานความเห็น