นักบรรพชีวินวิทยาผู้ศึกษาซากฟอสซิลของไดโนเสาร์อายุราว 76 ล้านปีพบร่องรอยที่แสดงว่าผู้ครองโลกในยุคนั้นเป็นมะเร็งกระดูกเหมือนกับมะเร็งที่เกิดกับมนุษย์ในปัจจุบัน และนักวิจัยหวังว่าการศึกษาข้อมูลดังกล่าวจะช่วยให้เข้าใจเกี่ยวกับวิวัฒนาการและพันธุกรรมของโรคนี้ได้ดีขึ้น
เดิมนั้นนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าไดโนเสาร์เจ้าโลกยุคดึกดำบรรพ์เมื่อหลายร้อยล้านปีที่แล้วมีปัญหาความเจ็บป่วยต่างๆ คล้ายกับมนุษย์นับตั้งแต่โรคเก๊าท์ ต้อกระจก ปวดข้อ กระดูกพรุน พยาธิลำไส้ ฟันผุ รวมทั้งวัณโรคและปอดบวมด้วย และล่าสุดทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย McMaster ผู้ศึกษาซากกระดูกของไดโนเสาร์พันธุ์มีเขาที่เรียกว่า Centrosaurus ซึ่งค้นพบในรัฐอัลเบอร์ต้าของแคนาดาได้พบว่าไดโนเสาร์พันธุ์กินพืชซึ่งอาศัยอยู่บนโลกเมื่อราว 76 - 77 ล้านปีที่แล้วนี้เป็นมะเร็งกระดูก โดยมะเร็งที่เกิดกับกระดูกหน้าแข้งของไดโนเสาร์ดังกล่าวมีลักษณะคล้ายคลึงกับมะเร็งกระดูกของมนุษย์ในปัจจุบันซึ่งมักจะเกิดกับคนในช่วงวัย 20 ถึง 30 ปี
ในตอนแรกนักวิจัยคิดว่ากระดูกที่ผิดรูปร่างไปในซากฟอสซิลที่พบเมื่อราว 30 ปีที่แล้วนี้เป็นแค่รอยกระดูกแตก แต่หลังจากที่ใช้เทคนิคการแพทย์ยุคใหม่เพื่อวินิจฉัย นักบรรพชีวินวิทยาได้พบว่าร่องรอยดังกล่าวคือมะเร็งที่เกิดจากการเติบโตอย่างผิดปกติของเซลล์กระดูกซึ่งได้ลุกลามไปทั่วกระดูกหน้าแข้งจนถึงอวัยวะอื่นเช่นปอดของไดโนเสาร์ด้วย
มะเร็งที่พบในกระดูกหน้าแข้งของไดโนเสาร์พันธุ์ Centrosaurus ดังกล่าวได้พบในมนุษย์ยุคปัจจุบันด้วย อย่างเช่นใน Terry Fox นักกีฬาของแคนาดาถูกพยามสร้างสถิติเมื่อปี 2523 ด้วยการวิ่งมาราธอนข้ามประเทศเพื่อหาเงินช่วยการวิจัยเกี่ยวกับมะเร็ง อย่างไรก็ตามนักกีฬาของแคนาดาผู้นี้ต้องเลิกล้มความตั้งใจเมื่อเริ่มการวิ่งไปได้เพียง 143 วันเพราะมะเร็งที่กระดูกขาของเขาลุกลาม และหนึ่งปีหลังจากนั้นเขาได้เสียชีวิตลง
อย่างไรก็ตามสำหรับไดโนเสาร์พันธุ์ Centrosauru อายุ 76 ล้านปีที่พบร่องรอยของมะเร็งในกระดูกนี้นักวิจัยยังไม่ปักใจว่าไดโนเสาร์ตัวนี้ตายลงจากมะเร็งหรือจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่กันแน่ เพราะกระดูกที่พบนั้นเป็นส่วนหนึ่งของซากฟอสซิลของไดโนเสาร์กลุ่มใหญ่ที่ตายลง แต่การค้นพบและยืนยันเรื่องมะเร็งในกระดูกของไดโนเสาร์ซึ่งได้ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารการแพทย์ Lancet Oncology เมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมาช่วยยืนยันว่าโรคภัยไข้เจ็บและมะเร็งกระดูกนี้เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการพัฒนาการของสิ่งมีชีวิต และนักวิทยาศาสตร์ก็หวังว่าการศึกษาเพิ่มเติมเรื่องนี้จะช่วยให้มีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับพัฒนาการและพันธุกรรมของโรคมะเร็ง
