ขณะนี้ ประชากรโลกกำลังรอคอยวันที่วัคซีนต้านโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่จะถูกพัฒนาขึ้นมาสำเร็จเพื่อการใช้ในวงกว้าง
สำหรับคนอเมริกัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังระดมความคิด เรื่องการจัดอันดับผู้รับวัคซีนก่อนหลัง เพราะ แม้ว่าเมื่อถึงเวลาที่ผู้เชี่ยวชาญสามารถผลิตวัคซีนในปริมาณมากได้สำเร็จ วัคซีนดังกล่าวก็ยังไม่น่าจะมีมากพอสำหรับความต้องการ
กรอบการจัดลำดับกลุ่มประชากรในการรับวัคซีนโควิด-19 น่าจะพอเห็นเป็นรูปเป็นร่างในปลายเดือนหน้า ตามรายงานของสำนักข่าว Associated Press
ในสหรัฐฯตามปกติงานนี้จะเป็นหน้าที่ของ คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านเเนวทางการสร้างภูมิคุ้มกันโรค (Advisory Committee on Immunization Practices) ของหน่วยงานรัฐ Centers for Disease Control and Prevention หรือ CDC
แต่ในครั้งนี้ คณะทำงานนำความคิดจากเจ้าหน้าที่อีกสองกลุ่มมาร่วมการตัดสินใจด้วย คือจากผู้เชี่ยวชาญด้านจริยธรรม และผู้สันทัดกรณีด้านวัคซีนแห่ง องค์กรระดับชาติ National Academy of Medicine ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภาอเมริกัน
แนวคิดเริ่มต้นสำหรับการอภิปราย
ขณะนี้ CDC หรือศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ตั้งต้นการอภิปรายด้วย การพิจารณาเกณฑ์ที่แนะนำว่า วัคซีน 12 ล้านชุดเเรก จะกันไว้สำหรับ ผู้ทำงานด้านสาธารณสุขที่มีความสำคัญขั้นสุด และเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงแห่งชาติ
จากนั้น 110 ล้านชุดถัดมาจะจัดให้กับกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูงที่จะติดโควิด-19 เช่น ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปีที่อยู่ในสถานดูเเลระยะยาว และคนที่มีโรคประจำตัว รวมถึงผู้ที่มีอาชีพในหมวด “จำเป็น” ที่ต้องปฏิบัติงานเมื่อเกิดการระบาด
หลังจากนั้น ประชาชนทั่วไปจึงจะสามารถรับวัคซีนได้
อย่างไรก็ตามมีหลายประเด็นที่สร้างความสลับซับซ้อนในการจัดลำดับความสำคัญของผู้ที่ควรได้รับวัคซีน
นายแพทย์ ฟรานซิส คอลลินส์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐฯ เปิดประเด็นให้พิจารณาถึงการให้วัคซีนต่อคนที่อยู่ในพื้นที่การระบาดรุนแรงด้วย นอกจากนั้นเขากล่าวถึงความสำคัญของอาสาสมัครจำนวนมากที่อยู่ในกลุ่มการทดลองช่วงการพัฒนาวัคซีน ว่าคนกลุ่มนี้จะถูกพิจารณาให้อยู่อันดับต้นๆของการรับวัคซีนเมื่อพัฒนาสำเร็จ ได้หรือไม่
กลุ่มประชากรอื่นๆ ในการพิจารณาลำดับการรับวัคซีน
สำนักข่าว Associated Press รายงานว่าบริษัท Moderna และ Pfizer น่าจะใช้อาสาสมัครในการทดลองวัคซีน บริษัทละ 30,000 คน และนั่นยังไม่รวมอาสามัครจำนวนพอๆกันในการทดลองของบริษัท อื่นๆ เช่น AstraZeneca Johnson & Johnson และ Novavax
ขณะเดียวกันแพทย์หญิง แชรอน เฟรย์ แห่งมหาวิทยาลัย St. Louis กล่าวว่า อีกกลุ่มที่ควรให้ความสำคัญได้เเก่ ผู้ยากไร้ในเขตเมือง ที่อยู่ในย่านแออัด และไม่สามรถทำงานจากบ้านได้ เหมือนคนอเมริกันที่มีฐานะโดยทั่วไป
ส่วนการตีความคำว่า ผู้ที่มีอาชีพในหมวด “จำเป็น” อาจนำมาซึ่งการอภิปรายว่า กลุ่มใด “จำเป็น” กว่ากัน หากวัคซีนไม่พอ เช่น ครู-อาจารย์ “จำเป็น” กว่าคนทำงานโรงฆ่าสัตว์หรือไม่
และในระดับนานาชาติ องค์การอนามัยโลก ก็กำลังพิจารณาว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ประเทศยากจนไม่ถูกมองข้ามในการจัดสรรวัคซีนต้านโคโรนาไวรัสในอนาคต อย่างไรก็ดี เป็นที่ทราบกันว่าประเทศรำ่รวยคุมตลาดวัคซีนอยู่ และต้องการนำวัคซีนที่ใช้ได้ผลชุดเเรกมาใช้กับประชาชนของตนก่อน
การวางแนวทางผู้สมควรได้รับวัคซีนอันดับต้นๆ ดำเนินควบคู่ไปกับงานของปฏิบัติการ Operation Warp Speed ของรัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ที่เตรียมการขนส่งและวิธีการตั้งศูนย์ฉีดวัคซีนอยู่
เจ้าหน้าที่ CDC ระบุว่าการฉีดวัคซีนอาจทำในลักษณะ จุดหยุดรถแบบที่ผู้รับวัคซีนอยู่ในยานพาหนะและขับผ่านไปได้อย่างรวดเร็วเมื่อฉีดยาเสร็จ หรืออาจเป็นในลักษณะคลีนิกเคลื่อนที่ และแนวคิดที่ทันสมัยอื่นๆ
ผู้อำนวยการโรเบิร์ต เรดฟิลด์ แห่งหน่วยงาน CDC กล่าวว่า ในที่สุดแล้ว ประชาชนต้องการเห็นการแจกจ่ายวัคซีนที่ เป็นธรรมและโปร่งใส