หน้ากากเป็นอุปกรณ์ป้องกันการระบาดของโควิด-19 ที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันการสวมใส่หน้ากาก กลับสร้างปัญหาชวนปวดหัวใหม่ ให้กับระบบจดจำใบหน้า หรือ facial recognition technology
ผลการศึกษาล่าสุดของสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติ ของสหรัฐฯ (National Institute of Standards and Technology) หรือ NIST พบว่าเมื่อผู้คนสวมใส่หน้ากาก เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าจะมีอัตราความผิดพลาดเพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 5 – 50
สถาบัน NIST ที่ทำการทดลองนี้ เป็นหน่วยงานของรัฐบาลอเมริกันที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ และจัดลำดับความถูกต้องแม่นยำของระบบจดจำใบหน้าและเทคโนโลยีอื่น ๆ โดย CNN และ The Verge รายงานว่า NIST ได้ทดลองอัลกอริธึมจดจำใบหน้าทั้งหมด 89 ระบบ โดยใช้ทดลองกับรูปคนกว่า 6 ล้านรูป ซึ่ง NIST ใช้เทคนิคการตัดต่อเอารูปหน้ากากแปะลงไปบนรูปบุคคลเหล่านี้ ไม่ใช่รูปของคนที่สวมหน้ากากจริง ๆ
ผลการทดสอบพบว่าหน้ากากสีดำ จะสร้างความผิดพลาดได้มากกว่าหน้ากากสีฟ้า และยิ่งหน้ากากปิดพื้นที่บริเวณจมูกมากเท่าไหร่ ความผิดพลาดก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
เรื่องนี้ได้สร้างความท้าทายใหม่ ไม่เฉพาะกับบริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ แต่ยังรวมไปถึงการใช้ระบบการจดจำใบหน้าของทางการและหน่วยงานของรัฐตามพื้นที่ชายแดน หรือในสนามบินด้วย
การที่ระบบจดจำใบหน้า ไม่สามารถอ่านใบหน้าของผู้คนที่สวมหน้ากากได้อย่างแม่นยำนี้ ถูกมองว่าเป็นข่าวที่นักรณรงค์เรื่องสิทธิส่วนบุคคลน่าจะยินดี เพราะพวกเขามองว่า ทางการและรัฐบาลหลายประเทศนำเทคโนโลยี facial recognition นี้มาใช้กันอย่างแพร่หลายโดยไม่คำนึงถึงความเป็นส่วนตัว และเสรีภาพของประชาชน และยังทำให้ผลกระทบในทางลบด้านอื่น ๆ ด้วย
แต่ในขณะเดียวกัน บริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ ก็กำลังพยายามปรับแต่งระบบจดจำใบหน้าให้ปรับตัวเข้ากับยุคสมัยโควิด-19 โดยมีการออกแบบระบบ facial recognition ให้สามารถอ่านได้แม่นยำขึ้น จากการอ่านพื้นที่บริเวณรอบ ๆ ดวงตาเท่านั้น
ทั้งนี้ NIST ระบุว่าจะทำการศึกษาระบบจดจำใบหน้ากับภาพของคนที่สวมใส่หน้ากากจริงอีกครั้งในปลายปีนี้