สถานการณ์การระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ กำลังกลายมาเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองในสหรัฐฯ หลังวิกฤตการณ์นี้ส่งผลกระทบชัดเจนต่อเศรษฐกิจของประเทศ ขณะที่ชาวอเมริกันจับตาดูว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะสามารถรับมือกับปัญหานี้ได้ดีเพียงใด
ปัจจุบัน มีการยืนยันพบการติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด-19 อย่างน้อยในพื้นที่ 16 รัฐทั่วสหรัฐฯ และตัวเลขผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้นรายวัน
สถานการณ์ที่ทำให้ชาวอเมริกันเริ่มกังวลเกี่ยวกับสวัสดิภาพและความปลอดภัยของตน ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ ออกมายืนยันเมื่อต้นสัปดาห์ว่า รัฐบาลปัจจุบันได้ดำเนินมาตรการต่างๆ อย่างจริงจังเพื่อปกป้องพลเมืองของประเทศแล้ว
แต่คำยืนยันนี้กลายมาเป็นประเด็นที่นักวิเคราะห์บอกว่า ไม่น่าเชื่อถือเท่าที่ควร เนื่องจากเป็นเหมือนการกลับลำของผู้นำสหรัฐฯ ที่เคยบอกไว้ก่อนหน้าว่า วิกฤตการณ์นี้ไม่ได้น่ากลัวสักเท่าใด
ลาร่า บราวน์ จาก มหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน ให้ความเห็นว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เริ่มมีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือ จากการที่ไม่พูดความจริงกับประชาชน ไม่ว่าจะเรื่องเล็ก หรือเรื่องใหญ่
ระหว่างการแถลงข่าวเกี่ยวกับทีมเฉพาะกิจด้านโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่เมื่อเดือนที่แล้ว ผู้นำสหรัฐฯ ออกมาแถลงในลักษณะปัดคำเตือนของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อแห่งสหรัฐฯ หรือ CDC ว่า สหรัฐฯ อาจจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการระบาดครั้งนี้ได้ ทั้งยังกล่าวด้วยว่า จำนวนผู้ติดเชื้อนั้น “น่าจะลดลงจนเหลือศูนย์ภายในไม่กี่วัน” ด้วย
นอกจากนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ยังกล่าวหาพรรคเดโมแครตที่ออกมาวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลเกี่ยวกับการรับมือการระบาดนี้ ว่าเป็นเรื่องหลอกลวงเพื่อหาประโยชน์ทางการเมือง ทั้งยังบอกว่า บรรดาสำนักข่าวต่างๆ นั้นกำลังอยู่ในภาวะประสาทหวาดผวาที่จะรายงานประเด็นโควิด-19 ด้วย
ด้วยเหตุนี้ อาจกล่าวได้ว่า ความเชื่อมั่นของประชาชนในตัวผู้นำประเทศคนปัจจุบันอาจมีปัญหา หากรัฐบาลไม่สามารถดำเนินมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการลดความกลัวและสร้างความมั่นใจให้ชาวอเมริกันได้โดยเร็ว แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา ทีมงานของประธานาธิบดีทรัมป์ จะเริ่มทำการแถลงข่าวโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่รายวัน ที่นำทีมโดยรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ และผู้บริหารจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมออกคำสั่งต่างๆ เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของไวรัสนี้ อันมีทั้ง การสั่งจำกัดเที่ยวบิน การเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดที่สนามบินและจุดผ่านแดน และอนุมัติงบประมาณเพื่อส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับภัยของโควิด-19 แล้วก็ตาม
ขณะเดียวกัน ปัญหาเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง จากการที่ดัชนีหุ้นต่างๆ ตกอย่างต่อเนื่อง และสายการผลิตมากมายต้องหยุดชะงัก รวมทั้งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่หยุดนิ่ง กำลังกลายมาเป็นประเด็นสำคัญที่อาจประชาชนเริ่มสูญเสียความเชื่อถือในรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งชูเรื่องสภาพเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเป็นนโยบายหลักมาตลอด
นับแต่เกิดการระบาดในจีนเมื่อปลายปีที่แล้ว โรงงานนับไม่ถ้วนต้องปิดตัวลง ส่วนร้านอาหารต่างๆ โรงละคร และโรงภาพยนตร์ ประสบปัญหาลูกค้าลดลงอย่างมาก ขณะที่รายการแข่งขันกีฬาหลายรายการก็ต้องถูกยกเลิกไป และสายการบินต่างๆ ตัดสินใจระงับหรือยกเลิกเที่ยวบินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
รายงานข่าวระบุว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนั้นมีสัดส่วนการจ้างงานทั่วโลกอยู่ที่ราวร้อยละ 10 หรือประมาณ 319 ล้านตำแหน่ง ซึ่งอยู่ในภาวะที่มีความเสี่ยงที่จะต้องถูกกระทบหนักจากวิกฤติครั้งนี้
ในส่วนของประเด็นทางการเมืองนั้น นักวิเคราะห์มองว่า ผู้สมัครเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ทั้งวุฒิสมาชิก เบอร์นี่ แซนเดอร์ส และอดีตรองประธานาธิบดี โจ ไบเดน มีโอกาสได้เสียงสนับสนุนจากประชาชนมากขึ้น เนื่องจาก แซนเดอร์ส์ มีนโยบายหาเสียงที่เสนอการบริการสาธารณสุขฟรีแก่ชาวอเมริกัน ส่วนไบเดนนั้นเคยมีประสบการณ์ในการรับมือวิกฤติต่างๆ มาแล้ว
อย่างไรก็ดี ก่อนที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ ปัญหาโควิด-19 กลายมาเป็นประเด็นที่บางฝ่ายเริ่มแสดงความกังวลว่า อาจทำให้กระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งการหาเสียงและการลงคะแนนของประชาชนในอนาคตอาจต้องถูกยกเลิกหรือเลื่อนออกไป แม้จะมีความหวังว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นในฤดูร้อนอาจช่วยลดความรุนแรง หรือแม้กระทั่งหยุดการแพร่กระจายของไวรัสนี้ได้
