ลิ้งค์เชื่อมต่อ

นักวิทย์ ชี้ “กรุ๊ปเลือด” ส่งผลต่อความรุนแรงของโควิด-19


Bill Myers of Washington has blood platelets drawn at the American Red Cross Charles Drew Donation Center in Washington Feb. 16, 2016.
Bill Myers of Washington has blood platelets drawn at the American Red Cross Charles Drew Donation Center in Washington Feb. 16, 2016.

นักวิทยาศาสตร์ พยายามหาคำตอบกันมาตลอดว่าทำไมคนที่ติดเชื้อโคโรนาไวรัส ทำไมบางคนถึงมีอาการไม่รุนแรง ในขณะที่บางคนนั้นปางตาย ก่อนหน้านี้มีปัจจัยบางอย่างที่เราพอทราบกันแล้ว เช่น อายุ โรคประจำตัว แต่งานวิจัยล่าสุดจากยุโรป พบว่า หมู่เลือดของคนเราก็น่าจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญหนึ่งต่อความรุนแรงของโควิด-19 ด้วยเช่นกัน

นักวิจัยในเยอรมนีและนอร์เวย์ ทำการศึกษาและค้นพบว่า คนที่มีเลือดกรุ๊ปเอ (A+) มีความเสี่ยงที่จะติดโควิด-19 สูงกว่า และมีอาการรุนแรงมากกว่าคนกรุ๊ปเลือดอื่น

ผลการวิจัยที่ได้ครั้งนี้ได้มาจากการทำการศึกษาผู้ป่วยโควิด-19 ประมาณเกือบ 2,000 คนในอิตาลี และสเปน ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

สิ่งที่พวกเขาค้นพบคือ ในจีโนม (genome) หรือหน่วยพันธุกรรมทั้งหมดที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอย่างปกติของมนุษย์ จะมีจุดอยู่สองจุดที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของคนเราที่จะเกิดภาวะระบบทางเดินทางหายใจล้มเหลวหากติดโควิด-19 ซึ่งหนึ่งในจุดสองจุดนั่นคือ พันธุกรรม หรือ ยีนส์ (gene) ที่เป็นตัวบ่งบอกกรุ๊ปเลือดนั่นเอง

คนที่มีเลือดกรุ๊ป เอ จะมีโอกาสสูงกว่าคนเลือดกรุ๊ปอื่นถึง 45% ที่จะเกิดภาวะหายใจล้มเหลว ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขามีโอกาสสูงที่จะต้องการออกซิเจน หรือต้องใช้เครื่องช่วยหายใจในการรักษาโควิด-19

และข้อมูลนี้น่าจะเป็นตัวช่วยให้กับทีมหมอและพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 เพราะสาเหตุหนึ่งของการเสียชีวิตในกลุ่มผู้ป่วยโควิด-19 คือ ผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหายใจล้มเหลว มีอาการติดเชื้อในปอด หรือกลุ่มที่มีอาการหายใจไม่ออกเฉียบพลัน

ในสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับในประเทศไทย เลือดกรุ๊ปเอเป็นหมู่โลหิตที่มีมากเป็นอันดับที่ 2 รองจากเลือดกรุ๊ปโอ ซึ่งจากการศึกษาชิ้นนี้พบกว่าคนเลือดกรุ๊ปโอ กลับมีโอกาสที่จะเกิดภาวะหายใจล้มเหลวจากโควิด-19 น้อยกว่าหมู่เลือดอื่นๆ ถึง 35%

ผลจากรายงานนี้คล้ายกับการศึกษาก่อนหน้านี้ในจีนและสหรัฐฯ ที่แสดงให้เห็นว่าคนที่มีเลือดกรุ๊ปเอ จะมีโอกาสติดโควิด-19 มากกว่ากรุ๊ปโอ

นอกจากนี้ ในช่วงที่เกิดการระบาดของโรคซาร์ส เมื่อ 17 ปีก่อน ก็พบว่าคนเลือดกรุ๊ปบเอ มีโอกาสที่จะติดโรคมากกว่าเช่นกัน

XS
SM
MD
LG