องค์การอนามัยโลก กล่าวย้ำความจำเป็นที่รัฐบาลและประชาชนทั่วโลกต้องช่วยกันต่อสู้กับการระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ขณะที่ยุโรปกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์การระบาดระลอกใหม่อยู่
เทดรอส อัดนอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก กล่าวระหว่างการแถลงข่าวในวันจันทร์ว่า ทุกประเทศและทุกคนต้องร่วมกันทำทุกอย่างที่จำเป็น ตั้งแต่การทำการทดสอบการติดเชื้อ ไปจนถึงการติดตามตัวผู้ที่เคยใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ การรักษาระยะห่างทางสังคม และการสวมใส่หน้ากากเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ อย่างต่อเนื่องเพื่อหยุดยั้งการระบาดของไวรัสนี้
คำเรียกร้องขององค์การอนามัยโลกนี้มีออกมาอีกครั้ง ขณะที่ ตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตพุ่งขึ้นในหลายพื้นที่ และข้อมูลล่าสุดจากมหาวิทยาลัย จอนส์ ฮอพกินส์ ณ บ่ายวันจันทร์ตามเวลาในสหรัฐฯ ระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกอยู่ที่กว่า 18.1 ล้านคน โดยตัวเลขผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 690,000 คนแล้ว
องค์การอนามัยโลกยังย้ำด้วยว่า โลกยังไม่สามารถค้นคว้าหายารักษาโควิด-19 ให้หายขาดได้ในเวลานี้ และมีความน่าจะเป็นว่าอาจจะไม่มีวันค้นพบได้ แม้ว่าโครงการพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 หลายโครงการจะมีความคืบหน้าเข้าสู่การทดสอบในขั้น 3 ซึ่งหมายถึงการทดลองกับคนเป็นจำนวนมาก ที่ให้ความหวังว่าจะช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของไวรัสได้ในที่สุด
ในส่วนของสถานการณ์ทั่วโลกนั้น สเปน อังกฤษ เบลเยี่ยม ลักเซมเบิร์ก ฝรั่งเศส และเยอรมนี คือกลุ่มประเทศในยุโรปที่กลับมารายงานตัวเลขการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้เกิดความกลัวว่า การระบาดใหญ่ระลอกที่ 2 กำลังกลับมาที่ภูมิภาคนี้อีกครั้ง
ทั้งนี้ หลายประเทศในยุโรปเพิ่งกลับมาบังคับใช้คำสั่งจำกัดการเดินทางรวมทั้งมาตรการควบคุมอื่นๆ อีกครั้ง เช่น ที่อังกฤษ ซึ่งรัฐบาลสั่งใช้มาตรการห้ามการชุมนุมของคนภายนอกครัวเรือนภายในอาคารและสถานที่ต่างๆ ใน 3 เมืองใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศ หลังมีการพบผู้ติดเชื้อรายใหม่จากทั่วประเทศเพิ่มขึ้นวันละประมาณ 4,900 คนต่อวัน
ดร.ปีเตอร์ โดรแบค แห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด บอกกับผู้สื่อข่าว วีโอเอ ในวันจันทร์ว่า สิ่งที่สำคัญคือการที่รัฐบาลต่างๆ ลงมือดำเนินการอย่างรวดเร็วในการต่อสู้กับการระบาด และหากประเทศทั้งหลายทำการรับมือการแพร่กระจายของไวรัส รวมทั้งชะลอการเปิดกิจกรรมต่างๆ และทำการใดๆ ก็ตามที่สามารถลดการระบาด ทั่วโลกน่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ก่อนที่การแพร่กระจายของไวรัสจะรุนแรงหนักขึ้น
ส่วนที่ออสเตรเลีย รัฐบาลออกคำสั่งให้ธุรกิจที่ถือว่าไม่มีความจำเป็นในนครเมลเบิร์น เมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ ปิดทำการเป็นเวลา 6 สัปดาห์ตั้งแต่วันพุธนี้เป็นต้นไป เพื่อควบคุมการระบาดในเมืองนี้ที่รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ในสัดส่วนเกือบทั้งหมดของตัวเลขรวมทั่วประเทศ
หน่วยงานสาธารณสุขออสเตรเลียรายงาน จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ในวันจันทร์ที่ 429 ราย ขณะที่มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมอีก 13 รายในรัฐวิกตอเรีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของนครเมลเบิร์น
ขณะเดียวกัน รัฐบาลฟิลิปปินส์ออกคำสั่งล็อคดาวน์กรุงมะนิลาและพื้นที่ของ 5 จังหวัดที่มีประชากรหนาแน่นเป็นเวลา 2 สัปดาห์ หลังตัวเลขผู้ติดเชื้อรวมทะลุระดับ 100,000 คน เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยภายใต้คำสั่งดังกล่าว ประชาชนจะได้รับอนุญาตให้ออกนอกเคหสถานไปทำกิจที่จำเป็นเท่านั้น ขณะที่ระบบการขนส่งมวลชนทั้งหมดจะหยุดให้บริการไปด้วย