สถานการณ์การระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ทำให้บริการรถโดยสารผ่านแอพพลิเคชั่น อย่าง Uber และ Lyft ได้อานิสงส์จากการที่ผู้คนปรับเวลาการทำงานและการลดการให้บริการของการขนส่งสาธารณะอื่นๆ ในช่วงที่ผ่านมา แต่การแพร่กระจายของไวรัสที่แผ่ขยายเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ กลับกลายมาเป็นความเสี่ยงในหลายนๆ ด้านสำหรับผู้ขับขี่ให้บริการดังกล่าวด้วย
ความเสี่ยงนี้ชัดเจนที่สุดในแง่ของความคุ้มครองทางสุขภาพเพราะ แม้ผู้ขับขี่ Uber และ Lyft จะทำงานให้กับทั้งสองบริษัท แต่ไม่มีสิทธิ์ตามกฎหมายแรงงานที่เรียกร้องจากนายจ้างได้เหมือนพนักงานบริษัทอื่นๆ
ในภาวะการณ์เช่นนี้ Uber ที่มีผู้ขับขี่รับส่งผู้โดยสารและอาหารทั่วประเทศราว 1.3 ล้านคน ถือโอกาสเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ แก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการจ้างงาน ให้บริษัทมีอำนาจเสนอสวัสดิการต่างๆ เพิ่มขึ้นให้แก่ผู้ขับขี่ที่มีสถานะเป็นลูกจ้างคู่สัญญา ไม่ใช่ลูกจ้างประจำ โดยประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องที่บริษัทพยายามผลักดันผ่านรัฐบาลรัฐและรัฐบาลกลางมาหลายปีแล้ว
แต่ข้อเรียกร้องของ Uber กลับถูกโจมตีอย่างหนักจากสหภาพแรงงานต่างๆ ที่กล่าวหาว่า บริษัทพยายามสร้างนิยามของความเป็นลูกจ้างที่มีสิทธิ์รับสวัสดิการและการคุ้มครองแบบจำกัดเท่านั้นเอง
Uber อ้างการคาดการณ์ว่า จะมีคนจำนวนมากในอนาคตที่จะหันมาหางานที่ยืดหยุ่นได้และไม่ยึดติดกับนายจ้าง ในการเสนอการแก้กฎหมายแรงงาน แต่ภายใต้ข้อเสนอของบริษัทนั้น ผู้ขับขี่ที่มาร่วมงานจะไม่ได้สิทธิประโยชน์การประกันภาวะว่างงาน ซึ่งเป็นรูปการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นบ่อยๆ สำหรับอาชีพนี้
สำนักข่าวรอยเตอร์สได้ติดต่อไปทาง Uber เพื่อขอความเห็นแต่ไม่ได้รับคำตอบในเรื่องนี้ ขณะที่ทาง Lyft ไม่ได้ตอบกลับมาแต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน ความต้องการเรียกรถ Uber และ Lyft ในหลายๆ เมืองทั่วสหรัฐฯ ลดลงถึง 70% ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนผู้ขับขี่หลายรายบอกกับรอยเตอร์สว่า ตัดสินใจไม่ออกมาขับรถเพราะกลัวว่าจะติดโควิด-19
และแม้ทั้งสองบริษัทจะไม่ได้มีความเห็นเกี่ยวกับสถานภาพการว่างงานของผู้ร่วมให้บริการที่ขาดรายได้ไป ทั้ง Uber และ Lyft ประกาศตั้งกองทุนพิเศษเพื่อชดเชยแก่ผู้ขับขี่ของตนที่ได้รับเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่จากการให้บริการ และต้องกักตัวเฝ้าระวังอาการเป็นเวลา 14 วัน โดย Uber บอกว่า บริษัทได้ทำการจ่ายเงินชดเชยไปบ้างแล้วโดยไม่เปิดเผยรายละเอียด ขณะที่ Lyft ยังคงไม่ตอบกลับมายังผู้สื่อข่าว